ปัญหาที่ ๖ เต่า
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า “ดูก่อนพระนาคเสน ผู้ปฏิบัติพึงถือองค์ ๕ แห่งเต่านั้นเป็นไฉน”
รูปเต่า
พระนาคเสนทูลตอบว่า “ขอถวายพระพร ธรรมดาเต่า
๑. ย่อมอาศัยและเที่ยวไปในน้ำ
๒. จมอยู่ในน้ำ โผล่หัวขึ้นมาพบเห็นอะไรเข้า ก็กลับจมลงไปเสีย เพื่อมิให้ใครเห็น
๓. ครั้นขึ้นมาจากน้ำแล้ว ไม่เห็นอะไร ก็ตากกายอยู่ที่ชายหาด
๔. ขุดดินลงไปมุดตัวซ่อนอยู่ในที่สงัด
๕. เมื่อคลานไป ถ้าเห็นมนุษย์หรือสัตว์ หรือได้ยินเสียงก็หดอวัยวะทั้ง ๕ คือ เท้า ๔ ศีรษะ ๑ เข้าไปในกระดองของตนคอยระวังตัวหยุดนิ่งอยู่
ขอถวายพระพร ผู้ปฏิบัติพึงกอปรด้วยองคคุณเช่นเดียวกับเต่านี้แล คือ
๑. พึงแผ่เมตตาจิตอันเยือกเย็น ตั้งใจให้เป็นประโยชน์แก่สัตว์โลกทุกถ้วนหน้า มิได้พยาบาทอาฆาตจองเวร ดำรงมั่นอยู่ในพรหมวิหาร
๒. เมื่อกิเลสเกิดขึ้น ก็พึงข่มใจให้จมลงในอารมณ์ดั่งกระแสน้ำ ยึดอารมณ์ไว้ให้มั่น ไม่ให้สรรพกิเลสเข้ามาท่วมทับได้
๓. นำจิตออกจากกิริยายืนเดินนั่งนอน พึงฝังไว้สัมมัปปธาน (การมุ่งมั่นทำความชอบ) ๔
๔. ไม่มุ่งหวังลาภสักการะ และคำสรรเสริญ แล้วพึงอยู่ในที่อันสงัด ดังภาษิตที่พระอุปเสนวังคันตบุตรกล่าวไว้ว่า ภิกษุพึงเสพเสนาสนะอันสงัดปราศจากเสียงกึกก้องอันเป็นที่อยู่อาศัยแห่งเนื้อร้าย เพราะเหตุแห่งการหลีกเร้น
๕. เมื่อทวารหกลงไปในกามารมณ์ อันเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดยินดี ก็ปิดบานประตู คือสำรวมอินทรีย์เสียแล้วสะกดใจให้มีสังวร เป็นผู้มีสติสัมปชัญญะนั่งรักษาสมณธรรม ดุจพุทธภาษิในสคาถวรรคสังยุตตนิกายว่า ภิกษุพึงประคองใจมิให้ตกอยู่ในวิตก ไม่ติดพันด้วยตัณหา และทิฐิไม่เบียดเบียนผู้อื่น ดับสนิทไม่กลัว
ค่อนขอดใคร ๆ ดุจเต่าหดศีรษะและเท้าเข้าในกระดองของตน ฉะนั้น”
พระเจ้ามิลินท์ตรัสว่า “น่าฟัง”
ปัญหาที่ ๗ ปี่
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า “ดูก่อนพระนาคเสน ผู้ปฏิบัติต้องถือองค์ ๑ แห่งปี่นั้นเป็นไฉน”
รูปปั้น พระอภัยมณีเป่าปี่
พระนาคเสนทูลตอบว่า “ขอถวายพระพร ปี่ย่อมคล้อยเสียงไปตามลมคนเป่าฉันใด ผู้ปฏิบัติก็ต้องเป็นฉันนั้น
คือต้องปฏิบัติตามแนวคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าดุจภาษิตที่พระราหุล กล่าวไว้ว่า
ท่านทั้งหลาย จงอนุวัติตามคำสั่งสอนของพระชินสีห์อันมีองค์ ๙ ตั้งอยู่ในกรรม อันหาโทษมิได้ทุกเมื่อ แล้วพยายามบำเพ็ญความดีให้ยิ่ง ๆ ขึ้น”
พระเจ้ามิลินท์ตรัสว่า “เห็นด้วยละ”