ปัญหาที่ ๓ สัตว์มีโอกาสได้พ้นทุกข์ได้ทุกชนิดหรือไม่ (เอกัจจาเนกัจจานํธัมมาภิสมยปัญหา)
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า “ดูก่อนพระนาคเสน คนทุกคนถ้าปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบแล้ว ย่อมได้บรรลุมรรคผลนิพพานด้วยกันทั้งนั้นหรือ”
พระนาคเสนทูลตอบว่า “ขอถวายพระพร ไม่ทั้งนั้นมีบางจำพวกซึ่งแม้จะปฏิบัติดีสักเท่าไร ก็ไม่มีโอกาสที่จะได้บรรลุ”
ม: “พวกนั้น ได้แก่ใครบ้าง”
น: “ขอถวายพระพร ได้แก่คนเหล่านี้ คือ –
(๑) คนมิจฉาทิฐิ
(๒) คนกระทำอนันตริยกรรม ๕ (ฆ่ามารดา, ฆ่าบิดา, ฆ่าพระอรหันต์, ทำร้ายพระพุทธเจ้าถึงห้อพระโลหิต, ทำสงฆ์ให้แตกจากกัน) แม้อย่างใดอย่างหนึ่ง
(๓) คนปลอมเพศเป็นพระภิกษุ
(๔) พระภิกษุ กลับไปถือลัทธิอันผิด
(๕) คนประทุษร้ายนางภิกษุณี
(๖) พระภิกษุต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้วไม่ได้อยู่กรรม
(๗) คนบัณเฑาะว์ (กะเทย)
(๘) คนอุภโตพยัญชนก (คน ๒ เพศ)
(๙) สัตว์เดียรฉาน
(๑๐) เปรต
(๑๑) เด็กอายุต่ำกว่า ๗ ขวบ”
ม: “สิบพวกข้างต้นนั้น ไม่ได้บรรลุมรรคผลนิพพานก็ตามที แต่เหตุไฉนเด็กอายุต่ำว่า ๗ ขวบ จึงไม่ได้บรรลุมรรคผลนิพพานเล่า”
น: “เหตุว่าเด็กอายุเพียงเท่านั้น จิตยังไม่มีแนวความคิดที่จะให้เกิดความรู้สึกว่า ผลของความดี และความชั่วมีอยู่อย่างไร เมื่อไม่รู้จักผล ก็ไม่เกิดความคิดที่จะให้สาวไปหาเหตุแห่งผลนั้น ๆ ได้
เมื่อเป็นเช่นนั้น กำลังใจก็มีไม่พอที่จะให้ก้าวไปหามรรคผลนิพพานได้”
ม: “เธอจงหาตัวอย่างมาเปรียบให้ฟัง”
น: “ภูเขาสิเนรุ บุรุษพึงพยายามให้กำลังแรงของตน ยกเอามา จะไหวหรือไม่”
ม: “ภูเขาใครจะไปยกไหวเล่าเธอ”
น: “ขอถวายพระพร นั่นเป็นเพราะอะไร”
ม: “เป็นเพราะกำลังมีไม่พอ กับน้ำหนักแห่งภูเขา”
น: “นั่นแลฉันใด นี่ก็ฉันนั้นเหมือนกันการที่เด็กอายุต่ำว่า ๗ ขวบไม่ได้บรรลุมรรคผลนิพพานนั้น ก็เพราะว่ากำลังใจมีไม่พอกับน้ำหนักแห่งมรรคผล นิพพานเช่นเดียวกันแล
ขอถวายพระพร พระโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล อรหัตตผล ทั้ง ๔ อย่างนี้ กับพระนิพพานเป็นธรรมที่เผล็ดมาจากเหตุคือมรรค ๔
ก็เมื่อเด็กอายุเพียงนั้นยังไม่มีความคิดที่จะหยั่งลงไปสาวหา
ผลได้ดังนั้นแล้ว ไฉนเลยจะมีโอกาสได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ซึ่งเป็นเหตุ และผลของกันได้เล่า ถึงว่าจะได้อบรมบารมีมาแก่กล้าแล้ว และได้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเพียงไรก็ตาม ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้”
ม: “เธอว่านี้ชอบแล้ว”
จบเอกัจจาเนกัจจานํธัมมาภิสมยปัญหา
ปัญหาที่ ๔ พระนิพพานมีทุกข์ปนด้วยหรือไม่ (นิพพานอทุกขมิสสภาวปัญหา)
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า “ดูก่อนพระนาคเสน พระนิพพานมีความสุขอย่างเดียว หรือว่ามีความทุกข์ปนอยู่ด้วย”
พระนาคเสนทูลตอบว่า “ขอถวายพระพร พระนิพพานมีแต่ความสุขล้วน ไม่มีความทุกข์เจือปนเลย”
ม: “จะไม่เช่นนั้นสิเธอ ข้าพเจ้าสังเกตดูคนที่ยังมุ่งหวังพระนิพพาน ร่างกายลำบากคือ ต้องสำรวมอิริยาบถ ต้องระวัง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ต้องขัดเกลาจิตให้ผ่องใส
เหล่านี้ล้วนแต่เป็นอาการแห่งความทุกข์ความลำบากทั้งนั้น ก็
ถ้าพระนิพพานมีแต่ความสุขล้วนจริงดังเธอว่า กายวาจาใจของผู้มุ่งหวังพระนิพพานก็ไม่ต้องรับการทรมานเช่นนั้น
เรื่องนี้แม้มาคัณฑิยปริพพาชก ก็ได้กล่าวติเตียนพระพุทธเจ้าไว้ ซึ่งมีใจความว่า พระสมณโคดมไม่ได้รับความเจริญของโลกเลย”
น: “ขอถวายพระพร อาตมภาพของทูลถามพระองค์บ้างว่า การเสวยราชสมบัติ ได้รับแต่ความสุขอย่างเดียวหรืออย่างไร”
ม: “ก็เป็นสุขนี่เธอ ไม่เห็นทุกข์ยากลำบากอะไร”
น: “คราวเมื่อปัจจันตชนบทกำเริบ พระองค์ต้องเสด็จกรีฑาทัพไปประทับแรมตามดงตามป่า ถูกเหลือบยุง และลมแดดเบียดเบียน เป็นต้น
ขอถวายพระพร นั่นเป็นความทุกข์มิใช่หรือ”
ม: “ก็เป็นความทุกข์สิเธอ แต่เรื่องนั้นเธอจะเอามาปนกับความสุขในราชสมบัติไม่ได้ เพราะการกระทำนั้น ๆ ทำเพื่อความมั่นคงในการหาความสุขในราชสมบัติต่างหาก”
น: “นั่นแลฉันใด นี่ก็ฉันนั้นเหมือนกัน การที่ต้องสำรวมอิริยาบถต้องระวัง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ต้องขัดเกลาจิตให้ผ่องใสนั้น ก็เพื่อความมั่นคงในการแสวงหาความสุขคือ พระนิพพานเช่นเดียวกัน เพราะพระนิพพานเป็นธรรมชาติหมดจดจากเครื่องเศร้าหมองทั้งปวง
เมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้มุ่งหวังพระนิพพานเป็นธรรมชาติหมดจดจากเครื่องเศร้าหมองทั้งปวง เมื่อเป็นเช่นนั้นผู้มุ่งหวังพระนิพพานก็ต้องทำบุญชำระสันดานของตนให้ปราศจากบาป อันทำให้หม่นหมอง ล้างจนกาย วาจา ใจ สะอาดหมดจดไม่ต้องกระทำการชำระล้างต่อไป เมื่อนั้นแลเป็นอันว่า ได้ประสบสุขคือพระนิพพาน
ขอถวายพระพร เนื่องด้วยพระนิพพานหมดสิ้นมลทิน คือบาปธรรมอันเป็นต้นเหตุแห่งตัวทุกข์แล้วเช่นนี้และ จึงมีแต่ความสุขล้วนไม่มีความทุกข์เจือปนเลย”
ม: “เธอว่านี้ชอบแล้ว”
จบนิพพานอทุกขมิสสภาวปัญหา