ปัญหาที่ ๗ แรงบุญ และบาป (กุสลากุสลานํพลวาปัญหา)
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า “ดูก่อนพระนาคเสน บุญกับบาป ไหนจะมีกำลังกว่ากัน”
พระนาคเสนทูลตอบว่า “ขอถวายพระพร บุญมีกำลังมากกว่า”
ม: “จะไม่เป็นเช่นนั้นสิเธอ ตามที่ได้ยินได้เห็นมา คนทำบาปย่อมได้รับผลในปัจจุบัน”
น: “ขอถวายพระพร มี”
ม: “ใครบ้าง”
น: “คือ ๑. พระเจ้ามันธาตุราช
๒. พระเจ้าเนมิราช
๓. พระเจ้าสาธีนราช
๔. นายติณบาล”
ม: “ที่เธอว่านี้ดึกดำบรรพ์นัก ว่าเฉพาะในศาสนาพระโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ มีบ้างหรือไม่”
น: “ขอถวายพระพร มี คือ
๑. นายปุณณกะ ผู้ถวายอาหารบิณฑบาตแก่พระสารีบุตร แล้วได้รับตำแหน่งเศรษฐีในวันนั้น
๒. นางโคปาลมาตา ถวายบิณฑบาตแก่พระมหากัจจายนเถร แล้วได้รับตำแหน่งพระอัครมเหสีของพระเจ้าอุเทนในวันนั้น
๓. นางสุปปียาอุบาสิก เถือเนื้อของตนแกงถวายพระภิกษุไข้ ถึงวันที่ ๒ แผลก็หายสนิทไม่มีแผลเป็นเลย
๔. นางมัลลิกาถวายอาหารบิณฑบาตแก่พระพุทธเจ้า แล้วได้รับตำแหน่งพระอัครมเหสีของพระเจ้าโกศลในวันนั้น
๕. นายสุมนมาลาการบูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอก
มะลิ ๘ กำมือ แล้วได้ทรัพย์สมบัติมากมายในวันนั้น
๖. เอกสาฏกพราหมณ์ บูชาพระพุทธเจ้าด้วยผ้าห่ม แล้วได้รับพระราชทานทรัพย์สมบัติต่าง ๆ
ขอถวายพระพร ชนเหล่านี้ได้รับผลแห่งบุญกุศลในปัจจุบันทั้งนั้น”
ม: “ถึงเช่นนั้น ก็มีเพียง ๖ คนเท่านั้น ส่วนคนทำบาปต้องได้รับโทษทัณฑ์ในปัจจุบัน นับได้ตั้งร้อยตั้งพัน ดูก่อนพระนาคเสน อสทิสทาน
(อสทิสทาน คือ ทานที่ไม่มีคราวไหนจะเปรียบได้ตามเรื่องว่า พระเจ้าโกศล กับชาวพระนครทรงบำเพ็ญและทำทานแข่งกัน ต่างฝ่ายต่างทวีขึ้นไปโดยลำดับ ที่สุดพระเจ้าโกศลทรงบำเพ็ญเกินวิสัยที่ชาวพระนครจะทำตาม พระองค์ได้คือทรงบริจาคพระราชทรัพย์ถึง ๑๔ โกฏิ และสิ่งของซึ่งมีค่าอีกมากมาย)
ที่พระเจ้าโกศลราชทรงบริจาคในพระพุทธศาสนา เธอก็ทรงทราบดีแล้วมิใช่หรือ”
น: “ขอถวายพระพร”
ม: “หลังจากทรงบำเพ็ญทานแล้ว พระเจ้าโกศลได้ทรงรับยศศักดิ์ หรือทรัพย์สมบัติซึ่งเป็นผลของทานในทันทีนั้นอย่างไรบ้างหรือไม่”
น: “ขอถวายพระพร หามิได้”
ม: “เป็นเช่นนี้แล ข้าพเจ้าจึงค้านเธอว่าบาปมีผลแรงกว่าบุญ”
น: “ข้าวเบา (น่าจะเปรียบเหมือนกินข้าวต้ม) ทำได้รับผลเร็ว แต่ได้ผลน้อย ข้าวหนัก (น่าจะเปรียบเหมือนกินข้าวเหนียว) ทำได้รับผลช้า แต่ได้ผลมาก
ขอถวายพระพร นี่พระองค์จะทรงเห็นว่าอย่างไหนผลมากน้อยกว่ากัน”
ม: “ก็ข้าวหนักสิเธอได้รับผลมาก”
น: “บุญบาปก็เป็นเช่นเดียวกันนี้แล คือ บุญมีผลมากกว่าแรงกว่าจึงได้ผลช้า ส่วนบาปมีผลน้อยกว่าเบากว่า จึงให้ผลเร็ว”
ม: “ข้าพเจ้าจะเปรียบให้เธอฟังบ้าง ทหารคนใดสามารถจักศัตรูได้โดยเร็ว พลันทหารคนนั้นชื่อว่าเป็นผู้องอาจแกล้วกล้ามีกำลังมากกว่า นี่เธอสิ่งที่แปรไปเร็วให้ผลเร็ว ก็เพราะว่าสิ่งนั้นเป็นสภาพที่มีกำลังเช่นเดียวกับทหารผู้กล้าหาญนั้นแล
พึงดูตัวอย่างเช่นคนที่ฆ่ามนุษย์หรือลักทรัพย์เขา ในเวลานั้นแลเจ้าพนักงานจะต้องจับเอาตัวมาเพื่อลงโทษทันที”
น: “นั่นถูกทำโทษตามกฎของบ้านเมืองเพราะการกระทำนั้นๆ เป็นความผิดที่พระราชบัญญัติได้ระบุไว้ และจะจัดว่าเป็นโทษของบาปก็ถูก
ขอถวายพระพร แต่ว่านี้พระองค์ทรงยกมาด้วยมีพระประสงค์จะแสดงให้เห็นว่า บาปกำลังมากกว่าบุญนั้นไม่ได้ เพราะการทำบุญกฎหมายมิได้ระบุผลที่จะพึงได้รับไว้ ฉะนั้นจึงไม่มีทั่วไปว่า คนทำบุญได้รับผลทันทีเหมือนคนทำบาป
ขอถวายพระพร ถ้าพูดถึงกาลข้างหน้าบุญเป็นให้ผลแรงกว่าบาป ตัวอย่างความข้อนี้ เช่นพระองคุลิมาล ซึ่งตามประวัติปรากฏว่า ท่านฆ่ามนุษย์เสียจำนวนร้อย ครั้นท่านบรรลุพระอรหัตตผลแล้ว บาปนั้นก็ตามท่านไม่ทัน เพราะพระอรหัตตผลซึ่งเป็นตัวบุญกางกั้นไว้เสีย”
ม: “พอฟังได้”
จบกุสลากุสลานํพลวาปัญหา
ปัญหาที่ ๘ การอุทิศบุญกุศล (เปตอุททิสสผลปัญหา)
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า “ดูก่อนพระนาคเสน การที่ทายกทำบุญให้ทาน แล้วแผ่ส่วนบุญอุทิศส่งไปยังญาติมิตรที่ตายไปแล้วนั้น ญาติมิตรนั้น ๆ จะได้รับผลแห่งบุญกุศลทุกคน หรืออย่างไร”
พระนาคเสนทูลตอบว่า “ขอถวายพระพร ไม่ทุกคน ได้รับเฉพาะแต่ญาติมิตรที่ไปเกิดเป็นเปรตจำพวกปรทัตตูปชีวีเปรตเท่านั้น
นอกจากพวกนี้แล้ว เป็นอันไม่มีโอกาสที่จะได้รับผลแห่งบุญกุศลนั้น ๆ”
ม: “ก็ถ้าญาติมิตรของทายกมิได้ไปเกิดเป็นเปรตจำพวกนั้นเลย ผลแห่งบุญกุศลนั้นๆ จะมิสูญไปเสียหรือ”
น: “ขอถวายพระพร ไม่สูญ”
ม: “ถ้าไม่สูญ ใครจะได้รับ”
น: “ขอถวายพระพร ก็ทายกนั้นแลเป็นผู้ได้รับ”
ม: “เธอจงหาตัวอย่างมาเปรียบให้ฟัง”
น: “เจ้าถิ่นจัดอาหารไว้รับแขก ก็ถ้าแขกไม่ได้บริโภคอาหารนั้น ๆ จะพึงเป็นของใคร”
ม: “ก็เป็นของเจ้าถิ่นสิเธอ”
น: “นั่นแลฉันใด นี่ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ผู้ที่ทำบุญให้ทานแล้วแผ่ส่วนบุญอุทิศส่งไปยังญาติมิตรที่ตายไปแล้ว ถ้าญาติมิตรไม่ได้อยู่ในจำพวกที่มีโอกาส จะได้รับผลแห่งบุญกุศลที่อุทิศไปให้ไซร้ ผลบุญนั้น ๆ ก็ไม่สูญคงเป็นของแห่งผู้ทำบุญให้ทานเช่นเดียวกันนั้นแล
ขอถวายพระพร อันการแผ่ส่วนบุญอุทิศให้นี้ ย่อมเป็นการเพิ่มพูนบุญกุศลยิ่งขึ้นอีกส่วนหนึ่งด้วย เพราะว่าการอุทิศให้นั้นกอบด้วยผู้อุทิศมีเจตนามุ่งบูชาบุญคุณท่าน หรือมีเมตตากรุณาในผู้ที่ตายไปแล้ว อาศัยเหตุผลที่บุญยังคงเป็นของแห่งทายก และเพิ่มพูนยิ่งขึ้นอีกเช่นนี้แล ผลบุญที่อุทิศส่งไปให้นั้นจึงจัดว่าสูญไม่ได้”
ม: “เธอว่านี้ชอบแล้ว”
จบเปตอุททิสสผลปัญหา