ปัญหาที่ ๔ ฤดูที่พระอาทิตย์ร้อน (สุริยตัปปภาวปัญหา)
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า “ดูก่อนพระนาคเสน พระอาทิตย์ย่อมร้อนอบอ้าวในเหมันตฤดู (ฤดูหนาว) แต่ไม่อบอ้าวในคิมหันตฤดู (ฤดูร้อน) เป็นเพราะอะไร”
พระนาคเสนทูลตอบว่า “ขอถวายพระพร เป็นเพราะในคิมหันตฤดู เบื้องบนมีหมอกหนาทึบ เบื้องล่างลมพัดแรง ซึ่งทำให้ละอองฟุ้งขึ้นไปอยู่ในอากาศ
เมื่อเป็นดังนี้ กำลังความร้อนแห่งพระอาทิตย์ที่ฉายแสงลงมายังเราก็เบาลง เรารู้สึกอบอ้าวน้อย ส่วนในเหมันตฤดู เบื้องล่างพื้น แผ่นดินเย็น เบื้องบนมหาเมฆเข้าไปจนเป็นก้อน ๆ มิได้กระจัดกระจายไปในที่ต่าง ๆ
อนึ่งละอองน้ำ และฝุ่นธุลีทั้งหลาย ก็สงบไม่ฟุ้งไปในอากาศ ท้องฟ้าสะอาดปราศจากมลทิน ลมหากจะมีก็พัดอย่างอ่อน เมื่อไม่มีมหาเมฆมาปิดบัง พระอาทิตย์ก็แผดแสงกล้า
ขอถวายพระพร เหตุนี้จึงร้อนในฤดูเหมันต์ ฯ”
ม: “เข้าใจละ”
จบสุริยตัปปภาวปัญหา
ปัญหาที่ ๕ พระเวสสันดรบำเพ็ญบารมี (เวสสันดรปัญหา)
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า “ดูก่อนพระนาคเสน พระโพธิสัตว์ต้องบริจาคบุตรภรรยาให้เป็นทาน เหมือนอย่างพระเวสสันดรโพธิสัตว์เจ้าของเรา ทุก ๆ ท่านหรือ”
พระนาคเสนทูลตอบว่า “ขอถวายพระพร เหมือนกันทุกท่าน”
ม: “การที่ท่านเหล่านั้นกระทำดังนั้นจะเป็นด้วยท่านสิ้นความรักใคร่ เกิดความรังเกียจในบุตรภรรยาแล้วกระนั้นหรือ”
น: “หามิได้ แท้จริงปรากฏว่า ท่านยังรักใคร่เมตตา กรุณาบุตรภรรยา อย่างเดียวกับคนอื่นรักบุตรภรรยาเหมือนกัน
ดังพระเวสสันดรโพธิสัตว์เจ้าของเรา คราวเมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นพราหมณ์ตี ๒ พระโอรสคือ พระชาลี กัณหาทันทีนั้น ทรงสังเวช และทรงบันดาลโทสะจะทรงประทุษร้ายพราหมณ์ตอบแทนบ้าง แต่แล้วก็ทรงอดกลั้นความโกรธนั้นเสียได้
นี่ชี้ให้เห็นว่า พระองค์ยังทรงเมตตากรุณาพระโอรสอยู่ เช่น บิดากับบุตรธิดาอื่นเหมือนกัน แม้พระนางมัทรีพระองค์ก็ยังทรงรักใคร่เช่นเดียวกันเพราะได้ทรงร่วมสุขร่วมทุกข์กันตลอดมา
ขอถวายพระพร แต่ท่านเหล่านั้นมีใจผูกพันในพระสัมมาสัมโพธิญาณมากกว่าความรักบุตรภรรยา เพราะท่านแน่ใจว่าต่อไปข้างหน้าพระสัมมาสัมโพธิญาณ จะเกิดประโยชน์สุขแก่ตนพร้อมด้วยบุตรภรรยา และแก่ผู้อื่นเป็นกำไรยิ่งกว่าหลายเท่า เหตุนี้ท่านจึงพยายามหักใจบริจาคบุตรภรรยาให้เป็นทานได้”
ม: “นี่เธอ การที่พระเวสสันดรทรงบริจาคพระนางมัทรีและพระชาลี กัณหาให้เป็นทานนั้น พระชายาและพระโอรสทั้ง ๒ ทรงยินดีในทานนั้นด้วยหรือไม่”
น: “ขอถวายพระพร พระนางมัทรีเมื่อทรงทราบเรื่องนี้ก็ทรงเลื่อมใส ยินดีตาม แต่พระชาลี กัณหาหาได้ทรงยินดีด้วยไม่ เพราะยังทรงพระเยาว์ไม่รู้เดียงสาอะไร จะพึงเห็นได้จากการที่ทรงวิ่งหนีลงไปซ่อนอยู่ในสระบัว เป็นต้น”
ม: “เมื่อเป็นดังนั้น ก็เป็นอันว่าพระโอรสทั้ง ๒ นั้นได้รับแต่ความทุกข์ยากสองคนพี่น้องเท่านั้น ก็การกระทำบุญให้ทานเมื่อทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน จะเกิดผลเป็นบุญกุศลขึ้นได้อย่างไร”
น: “อาตมภาพจะยกตัวอย่าง เปรียบถวายเหมือนพระองค์ทรงบัญชาให้เก็บราชพลีจากราษฎรทุกคน เพื่อทรงนำมากระทำวัตถุที่เป็นสาธารณประโยชน์และสาธารณสุขขึ้น
ขอถวายพระพร ราษฎรเหล่านั้นบางคนก็ฝืนใจถวาย เพราะความขัดสนบังคับบ้าง เพราะเหตุอื่นบ้าง ก็เมื่อเป็นดังนั้น วัตถุที่พระองค์ทรงจัดทำขึ้นนั้น จะสำเร็จประโยชน์สุขดังพระราชประสงค์หรือไม่”
ม: “ก็สำเร็จสิเธอ”
น: “นั่นแลฉันใด นี่ก็ฉันนั้นเหมือนกัน การที่พระเวสสันดรทรงบริจาค พระชายาและพระโอรสทั้ง ๒ ให้เป็นทานนั้น แม้ว่าจะเป็นความุทกข์ใจลำบากกายแก่พระโอรสทั้ง ๒ ก็จริง แต่ก็ทานบารมีนั้น และเป็นปัจจัยสำคัญส่วนหนึ่งที่ให้พระองค์ และผู้อื่นทั่ว ๆ ไป ได้รับประโยชน์สุขอันใหญ่ยิ่ง
ขอถวายพระพร เมื่อเป็นดังนี้ ทานบารมีนั้นก็ต้องจัดว่าเป็นบุญกุศลได้ เพราะเกิดผลเป็นผลประโยชน์สุขทั่วไป”
ม: “ดูก่อนพระนาคเสน การบริโภคอาหารเกินประมาณจัดว่าเป็น การเกินสมควรฉันใด แม้การที่พระเวสสันดรทรงบริจาคพระชายา และพระโอรสทั้ง ๒ ให้เป็นทานนั้น ก็จัดว่าเป็นการเกินสมควรเช่นเดียวกันฉันนั้นแล หรือว่าอย่างไร”
น: “ความจริงเรื่องนี้จัดว่าเกินสมควรไม่ได้ เพราะทานปานนั้นแล จึงจะเป็นเหตุเป็นปัจจัย จะให้พระองค์ได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ
ขอถวายพระพร พระองค์ทรงเข้าพระหฤทัยอย่างไร เรื่องทานการให้ต้องมีกำหนดให้ด้วยหรือ”
ม: “มีสิเธอ การให้ ซึ่งไม่นับว่าเป็นทาน มีอยู่ดังนี้คือ
๑) ให้หญิงเป็นภรรยาชาย
๒) ให้โคตัวเมียแก่โคตัวผู้
๓) ให้น้ำเมาคือสุราและเมรัย
๔) ให้รู้ลามก
๕) ให้ศัสตราวุธ
๖) ให้ยาพิษ
๗) ให้เครื่องจองจำ
๘) ให้ไก่ตัวเมียแก่ไก่ตัวผู้
๙) ให้สุนัขตัวเมียแก่สุนัขตัวผู้
๑๐) ให้เครื่องนับเครื่องตวงซึ่งเป็นเครื่องมือสำหรับโกง”
น: “ขอถวายพระพร คำที่อาตมภาพทูลถามมิได้มุ่งอย่างนั้น มุ่งว่าการให้ทานต้องมีกำหนดให้เท่านั้นเท่านี้ ด้วยหรือไม่”
ม: “จะมีกำหนดกฎเกณฑ์อะไรเล่าเธอ สุดแต่มีจิตเลื่อมใสเท่าใด ก็ให้เท่านั้น”
น: “ก็ถ้าอย่างนั้น ไฉนพระองค์จึงทรงท้วงการบริจาคบุตรภรรยาให้เป็นทานว่าเป็นการเกินสมควรไปเล่า
ขอถวายพระพร ก็เมื่อบิดาเป็นหนี้เขาจะให้บุตรรับใช้หนี้แทนเพื่อเปลื้องตนเป็นไท จะไม่ได้ทีเดียวหรือ”
ม: “ได้สิเธอ”
น: “นี่ก็เป็นเช่นนั้นแล ขอถวายพระพร พระเวสสันดรทรงตั้งพระหฤทัยอยู่เสมอว่า จะทรงบำเพ็ญทานบารมีให้เต็มเปี่ยม ยาจกมาขออะไรก็ทรงบริจาคให้ทั้งนั้น
เมื่อทรงผูกพระหฤทัยเป็นหนี้รัดพระองค์ไว้เช่นนั้นแล้ว
ครั้นมียาจกมาขอพระชายาและพระโอรส พระองค์ก็มีหน้าที่ที่จะต้องชำระหนี้
กล่าวคือทรงบริจาคให้ตามที่ยาจกขอ ด้วยทรงหวังจะเปลื้องพระองค์ และผู้อื่นให้พ้นจากความเป็นทาสแห่งกิเลสและกองทุกข์ทั้งหลาย
ขอถวายพระพรการเป็นเช่นนี้แล จึงว่าไม่เป็นการเกินสมควร”
ม: “ที่จริงเรื่องนี้ ควรที่พระเวสสันดร จะทรงบริจาคตัวเองให้เป็นทานจะดีกว่าจะได้ไม่เดือดร้อนถึงผู้อื่น”
น: “ขอถวายพระพร เมื่อยาจกมาขอน้ำก็ต้องให้น้ำ ขอข้าวก็ต้องให้ข้าว นี่เขามาขอเจาะจงเอาพระชายา และพระโอรสแล้วจะมอบพระองค์เองให้เขาไป จะเป็นการสมควรละหรือ”
ม: “เธอว่าดังนั้นก็ถูก”
น: “ขอถวายพระพร ถ้าพราหมณ์ทูลขอเจาะจงตัวพระองค์เองแล้ว พระองค์ก็ยินดีจะมอบทันที เพราะว่าพระองค์มีพระหฤทัยผูกพันมั่นอยู่ในพระสัมมาสัมโพธิญาณยิ่งกว่าอื่น ชีวิตก็ดี ความสุขส่วนพระองค์ก็ดี พระองค์ยินดีที่จะทรงพร่าออกให้ เพื่อแลกกับพระสัมมาสัมโพธิญาณอยู่ทุกขณะ ข้อนี้จะพึงพิสูจน์ได้จากพฤติการณ์ของพระองค์แต่ต้นจนตลอด”
ม: “ชอบละ”
จบเวสสันดรปัญหา