ปัญหาที่ ๘ พระอรหันต์อาบัติได้หรือไม่ (อรหันตสัมโมหปัญหา)
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า “ดูก่อนพระนาคเสน พระอรหันต์ท่านหลงลืม บ้างหรือไม่”
พระนาคเสนทูลตอบว่า “ขอถวายพระพร พระอรหันต์ท่านไม่หลงลืม เพราะท่านมีสติกำกับใจอยู่เสมอ”
ม: “ถ้าเช่นนั้น ท่านจะมิต้องอาบัติเลยหรือ”
น: “ขอถวายพระพร ก็ต้องมีบ้าง”
ม: “ต้องเพราะวัตถุอะไรบ้าง”
น: “ต้องเพราะ
๑.สร้างกุฎี
๒. เพราะสำคัญเวลาผิด
๓. เพราะสำคัญเหตุผิดคือ ห้ามภัตรแล้ว เข้าใจว่ายังไม่ได้ห้าม
๔. เพราะสำคัญสิ่งของผิด คือของที่ยัง ไม่เป็นเดน เข้าใจว่าเป็นเดนแล้ว ”
ม: “เธอเคยกล่าวอยู่ว่า ภิกษุย่อมต้องอาบัติด้วยอาการ ๒ คือ
๑. ด้วยความไม่เอื้อเฟื้อ ๒. ด้วยความไม่รู้
ถ้าพูดสำหรับพระอรหันต์แล้ว ท่านคงไม่ต้องอาบัติ ด้วยความไม่เอื้อเฟื้อมิใช่หรือ”
น: “ขอถวายพระพร เป็นดังนั้น”
ม: “ถ้าอย่างนั้น ก็เป็นอันว่า ท่านต้องด้วยความไม่รู้”
น: “ขอถวายพระพร”
ม: “เรื่องที่ให้ต้องอาบัติ ซึ่งพระอรหันต์ไม่รู้ก็มีด้วยหรือ”
น: “มี ขอถวายพระพร อาบัตินี้จัดเป็น ๒ ประการคือ
๑.โลกวัชชะ มีโทษทางโลก คนสามัญที่มิใช่ภิกษุทำเข้าก็เป็นความผิดเป็นความเสียหายเหมือนกัน เช่น ทำโจรกรรมฆ่ามนุษย์นี้ประการหนึ่ง เป็นปัณณัติติวัชชะ (โทษทางพระวินัยตำหนิ)
๒. มีโทษทางพระพุทธบัญญัติ คนสามัญทำไม่มีความผิด ไม่เสียหาย เป็นผิดเฉพาะแต่ภิกษุ โดยฐานละเมิดพระพุทธบัญญัติ เช่น ขุดดินฉันอาหารเมื่อล่วงเวลาแล้ว เป็นต้นนี้
ขอถวายพระพร ในอาบัติ ๒ ประการนี้ ส่วนที่เป็นปัณณัตติวัชชะ ถ้าข้อใดเรื่องใด พระอรหันต์ท่านไม่รู้ ท่านก็ย่อมล่วงอาบัติในข้อนั้น ในวัตถุนั้น เพราะว่าพระอรหันต์ท่านมิได้รู้ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนอย่าง พระสัพพัญญูพุทธเจ้า”
ม: “เข้าใจละ”
จบอรหันตสัมโมหปัญหา
ปัญหาที่ ๙ สิ่งที่ไม่เกิดแต่กรรม แต่ฤดู (นิพพานอัตถิภาวปัญหา)
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า “ดูก่อนพระนาคเสน สิ่งที่เกิดแต่กรรมแต่เหตุ แต่ฤดูก็มี พอจะคิดเห็น แต่สิ่งที่ไม่เกิดแต่กรรมหรือแต่เหตุ หรือแต่ฤดูอย่างใด อย่างหนึ่งมีบ้างหรือไม่”
พระนาคเสนทูลตอบว่า “ขอถวายพระพร มี คือ ๑. อากาศ ๒. พระนิพพาน”
ม: “เธออย่ากล่าวตู่พระพุทธพจน์ เมื่อไม่รู้ก็จงบอกว่าไม่รู้”
น: “ถ้าอย่างนั้น พระองค์ทรงเห็นว่าอย่างไร”
ม: “อากาศข้าพเจ้าก็เห็นด้วย แต่พระนิพพานตามที่เธอว่ายังคิดไม่เห็น เพราะว่าพระนิพพานย่อมมีมรรคเป็นเหตุทำให้เกิด แม้พระพุทธพจน์ก็มีอยู่ชัด ๆ ว่า มรรคเป็นเหตุกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน”
น: “ขอถวายพระพร พระพุทธพจน์มีอยู่เช่นนั้นจริง แต่หาได้หมายความว่า พระนิพพานเกิดแต่เหตุ คือมรรคไม่”
ม: “เธอพาเข้าที่มืดเสียแล้ว ก็เมื่อพระพุทธพจน์มีว่า มรรคเป็นเหตุกระทำให้แจ้ง ซึ่งพระนิพพาน แต่ไฉนเธอจึงว่า เหตุให้พระนิพพานเกิดไม่มีเล่า ธรรมดาต้นไม้เมื่อมียอดก็เป็นอันว่ามีรากและลำต้น”
น: “พระองค์จะทรงเอาตัวอย่างนั้นมาเปรียบในที่นี้ไม่สมควร เพราะว่าพระนิพพานได้ถอนรากคือ ตัณหาอันก่อให้เกิดออกเสียแล้ว ฉะนั้นที่ทรงเข้าพระหฤทัยว่า พระนิพพานเกิดแต่เหตุนั้นจึงไม่ถูก ขอถวายพระพร เรื่องนี้ยากที่จะชี้แจงถวายให้เห็นชัด ๆ ได้”
ม: “เธอจงหาตัวอย่างมาเปรียบให้ฟัง”
น: “คนที่มีกำลังแข็งแรง จะสามารถไปยกเอาภูเขาหิมพานต์มาให้คนทั้งหลายดู จะได้หรือไม่”
ม: “จะมีใครถึงกะสามารถไปยกเอาภูเขาหิมพานต์มาให้คนดูได้เล่าเธอ”
น: “เป็นเพราะอะไร”
ม: “เป็นเพราะภูเขาหิมพานต์หนักเกินกำลังคนมากนัก”
น: “นั่นแลฉันใด นี่ก็ฉันนั้นเหมือนกัน การที่จะทูลชี้แจงพระนิพพานถวายให้ทรงเห็นชัด ๆ ก็เกินกำลังความสามารถของอาตมภาพเช่นเดียวกัน
เพราะอาตมภาพกล่าวได้แต่มรรคที่ทำพระนิพพานให้แจ้ง แต่ไม่อาจแสดงเหตุที่อาศัยให้เกิดพระนิพพานได้ การที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าพระนิพพานเป็นอสังขตธรรม (ธรรมที่ไม่มีเครื่องปรุงแต่ง ) ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง รู้ไม่ได้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย จะพึงรู้พึงเห็นได้ก็เฉพาะแต่พระอรหันต์ผู้มีจิตบริสุทธิ์สงบ และละเอียดเท่านั้น”
ม: “ถ้าเช่นนั้น ใครเล่าจะเชื่อว่าพระนิพพานมี เธอจงหาตัวอย่างมาเปรียบ”
น: “ขอถวายพระพร ลมมีหรือไม่”
ม: “ก็มีสิเธอ”
น: “ลมมีรูปร่างหรือสีสันเป็นอย่างไร ขอพระองค์ได้ทรงชี้แจงมาให้เห็น”
ม: “จะชี้แจงให้เห็นได้อย่างไรเล่าเธอ เพราะลมไม่มีรูปร่างหรือสีสัน เช่นเธอว่า แต่ว่าถึงกระนั้น เราก็รู้ว่าลมมีจริงเพราะพัดมาต้องเราอยู่เนือง ๆ”
น: “ขอถวายพระพร พระนิพพานก็เป็นเช่นเดียวกับลมนั้นแล คือไม่มีรูปร่าง ไม่มีสีสัน แต่ว่าท่านที่ได้บรรลุพระอรหันต์ได้รับความสุขกายเย็นใจ นั่นแล ท่านรู้ว่าพระนิพพานมีอยู่จริง เหมือนเรารู้สึกว่าลมมี ในขณะเมื่อพัดไปต้องใบไม้ เป็นต้น ให้หวั่นไหว หรือพัดมาต้องเรารู้สึกเย็นฉะนั้น”
ม: “เข้าใจละ”
จบนิพพานอัตถิภาวปัญหา