ปัญหาที่ ๒ ไม่ให้เบียดเบียนสัตว์ (อหึสานิคคหปัญหา)
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า “ดูก่อนพระนาคเสน พระพุทธเจ้าตรัสว่า
‘ผู้ที่นับถือพระรัตนตรัยว่าของเรา ไม่พึงเบียดเบียนผู้อื่น จักได้เป็นที่รักในโลก’
ฉะนี้มิใช่หรือ”
พระนาคเสนทูลตอบว่า “ขอถวายพระพร เป็นดังพระองค์ตรัสนั้นแล”
ม: “ถ้าอย่างนั้น เหตุอะไรเล่า พระองค์เองจึงตรัสว่า
‘เราตถาคต พึงข่มสภาพที่ควรข่ม พึงยกย่องสภาพที่ควรยกย่อง’
ฉะนี้ ก็การตัดมือตัดเท้า จำขัง ทรมาน ประหารชีวิตเหล่านี้ชื่อว่าเป็นกิริยาข่มทั้งนั้นนี่เธอ”
น: “ขอถวายพระพร พระพุทธพจน์ที่ว่า เราพึงข่มสภาพที่ควรข่มนั้น พระองค์มิได้ทรงหมายกิริยาข่มเช่นพระองค์ตรัสนั้น ทรงมุ่งถึงการข่มจิตที่ฟุ้งซ่าน จิตที่เป็นอกุศล และการข่มผู้ปฏิบัติผิดหรือเป็นโจร”
ม: “นี่เธอ ก็ถ้าการข่มมิใช่อาการที่ว่านั้น จะพึงข่มโจรได้อย่างไร”
น: “ก็ข่มด้วยการขู่บ้าง ด้วยการปรับสินไหมบ้าง ด้วยการขับไล่บ้าง ด้วยการจองจำบ้าง ด้วยการฆ่าเสียบ้าง”
ม: “การฆ่านั้นเป็นพระอนุมัติของพระพุทธเจ้าด้วยหรือ”
น: “หามิได้”
ม: “ถ้ามิใช่พระอนุมัติของพระพุทธเจ้าจะพึงฆ่าด้วยเหตุอะไร”
น: “ก็ฆ่าด้วยเหตุ คือความผิดที่โจรผู้นั้นกระทำ ขอถวายพระพร เมื่อลงโทษตามความผิดเช่นนั้น จะจัดว่าพระพุทธเจ้าผู้สอนมีผิดด้วยหรือ”
ม: “ไม่มี”
น: “ถ้าเช่นนั้น พระพุทธโอวาทที่ตรัสสอนนั้น ก็เป็นอันให้ประโยชน์สุข”
ม: “ถูกแล้ว”
จบอหึสานิคคหปัญหา
ปัญหาที่ ๓ พระพุทธเจ้าขับไล่พระอัครสาวกทั้งสอง พร้อมกับพระภิกษุสงฆ์ (ภิขุปณามปัญหา)
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า “ดูก่อนพระนาคเสน พระพุทธเจ้าตรัสว่า
‘เราตถาคตไม่มีความโกรธ เป็นผู้ปราศจากโทสะแล้ว’
ฉะนี้มิใช่หรือ”
พระนาคเสนทูลตอบว่า “ขอถวายพระพร ตรัสดังนั้นจริง”
ม: “ถ้าอย่างนั้น ไฉนจึงทรงขับไล่พระสารีบุตรพระโมคคัลลานะพร้อมทั้งบริษัทเล่า”
(เรื่องเดิม (ในจาตุมสูตร มัชฌิมติกาย มัชฌิมปัณณาสก)
ว่าสมัยหนึ่งพระพุทธเจ้า เสด็จประทับอยู่ ณ อาลมดีวันใกล้จาตุมคาม มีพระภิกษุประมาณ ๕๐๐ ซึ่งมี พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เป็นหัวหน้า พากันเดินทางมาเพื่อจะเฝ้าพระพุทธเจ้า
พอมาถึงต่างก็ดีอกดีใจ จัดเสนาสนะเก็บบาตรจีวรเสียงอึกทึกครึกโครมดังไปจนถึง ที่ประทับ พระพุทธเจ้าจึงให้พระอานนท์ไปตามพระภิกษุเหล่านั้นพร้อมด้วย
พระอัครสาวกทั้ง ๒ มาเฝ้า
ครั้นทรงทราบเรื่องอึกทึกก็ตรัสว่า ท่านทั้งหลายไม่ควรอยู่ในสำนักของเรา พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะจึงพาบริษัทหลีกไป เผอิญเดินมาพบพวกศากยราชชาวเมืองจาตุมะ
พวกศากยราชตรัสถามและทราบเหตุที่ท่าน พากันกลับจึงนิมนต์ให้ท่านหยุดก่อน แล้วเสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้ากราบทูลว่า ขอพระองค์จงทรงอนุเคราะห์พระภิกษุสงฆ์เถิด เพราะพระภิกษุเหล่านั้น โดยมากเป็นพระบวชใหม่ และต่างก็ตั้งใจจะมาเฝ้าพระองค์เมื่อไม่ได้เฝ้าตามที่มุ่งมาก็จะเสียใจ ความเลื่อมใสก็จะแปรผันไปเสีย เปรียบเหมือนลูกโคเมื่อไม่ได้อยู่กับแม่ ก็จะซูบผอมฉะนั้น
เรื่องนี้ พระพรหมมุนี (แฟง) วัดมกุฏกษัตริย์ได้แสดงมติไว้ในหนังสือ
ปัญหาธรรมวินิจฉัยว่า "ในจาตุมสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงขับไล่ภิกษุทั้งหลาย
ซึ่งพูดจาปราศรัยกันอื้ออึงเสียนั้นข้าพเจ้าพิจารณาเห็นว่า ในครั้งนั้น จะเป็น
กาลที่พระองค์มีพระพุทธประสงค์จะทรงประกอบสุขวิหารเครื่องอยู่สำราญ
ในทิฏฐธรรม จึงขับไล่ภิกษุที่พูดจาอื้ออึงเหล่านั้นเสีย เพราะเสียงอื้ออึงนั้น
เป็นข้าศึกแก่สุขวิหาร
อนึ่งถ้าพระองค์จะทรงทรมานสั่งสอนโดยวิธีอื่นก็ได้ ก็แต่พระองค์ทรงดำริ เห็นว่าพระอัครสาวกทั้ง ๒ อาจจะปกครองภิกษุเหล่านั้นได้ พระองค์จึงมิได้ทรงทรมานโดยวิธีอื่น:
ได้ความในจาตุมสูตรนั้นว่า ภายหลังพระอัครสาวกทั้ง ๒ ได้ช่องที่จะ
เฝ้า จึงพาภิกษุเหล่านั้นขึ้นไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ตรัสถามพระ
สารีบุตรเถรเจ้าว่า ดูก่อนสารีบุตร เมื่อเราขับไล่ภิกษุสงฆ์เสียแล้ว ท่านมีจิต
คิดว่ากระไร
พระเถระทูลว่า ข้าพระองค์คิดว่า ภิกษุสงฆ์พระผู้มีพระภาคเจ้า
ก็ทรงขับไล่เสียแล้ว บัดนี้พระองค์จักมีความขวนขวายน้อยทรงประกอบสุข
วิหารในทิฏฐธรรมอยู่แต่พระองค์
แม้เราก็จักเป็นผู้มีความขวนขวายน้อย ประกอบสุขวิหารในทิฏฐธรรมอยู่เหมือนกัน พระองค์ตรัสห้ามพระเถรเจ้าว่า ดูก่อนสารีบุตรท่านจงรอกาลก่อน ท่านอย่าพึงยังจิตอย่างนี้ให้เกิดขึ้นเลย พระองค์ตรัสห้ามดังนี้แล้ว จึงตรัสถามพระโมคคัลลานะเถรเหมือนดังนั้น ต่อไป พระเถรเจ้าทูลว่า ข้าพระองค์คิดว่า ภิกษุสงฆ์ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงขับไล่เสียแล้ว
บัดนี้พระองค์จักเป็นผู้มีความขวนขวายน้อย ทรงประกอบสุขวิหารในทิฏฐธรรมอยู่แต่พระองค์ ข้าพระองค์กับพระสารีบุตรจักช่วยกันปกครองภิกษุสงฆ์นั้นไว้ พระองค์ทรงสรรเสริญพระเถรเจ้าว่า ดูก่อนโมคคัลลานะความคิดของท่านดีถูกต้องละ ถึงเราก็คิดว่าสารีบุตร และโมคคัลลานะทั้ง ๒ อาจจะปกครองรักษาพระภิกษุสงฆ์ได้
ครั้นพระองค์ตรัสดังนี้แล้ว จึงตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายที่พระองค์ทรงขับไล่เหล่านั้นมา ตรัสเทศนาสั่งสอนต่อไป อาศัยเรื่องความที่มีมาในจาตุมสูตรนั้น ฉะนี้
สันนิษฐานลงว่า ขณะพระองค์ทรงขับไล่ภิกษุทั้งหลายที่พูดจาปราศรัย
กันอื้ออึงอยู่นั้น จะเป็นคราวพระองค์มีพระพุทธประสงค์จะทรงประกอบ
สุขวิหาร
ทั้งทรงพระดำริเห็นว่า พระอัครสาวกทั้ง ๒ อาจจะปกครอง
ภิกษุสงฆ์นั้นได้ด้วย ขณะนั้นพระองค์จึงมิได้ทรงทรมานสั่งสอนโดยวิธี
อื่นฉะนี้
เชิญท่านผู้มีปัญญาพิจารณาสอบสวนดูเถิด ถ้าเห็นว่า คำดังว่ามานี้
มิต้องโดยพระพุทธประสงค์แล้ว พึงคิดค้นด้วยปัญญา แสวงหาเหตุผล
ซึ่งจะตรงโดยพระพุทธประสงค์นั้นเทอญ")
น: “การที่พระพุทธองค์ทรงขับไล่พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ พร้อมทั้งบริษัทนั้น หาได้ทรงกระทำด้วยอำนาจแห่งความโกรธไม่ ทรงกระทำตามความผิดของท่านเหล่านั้น เมื่อเป็นเช่นนั้นจะว่าเป็นความผิดของพระพุทธองค์ได้อย่างไร เปรียบเหมือนคนเดินทางพลาดล้มลงนอนกะพื้นดิน จะว่าแผ่นดินโกรธเคืองหรือจึงให้ล้ม”
ม: “หามิได้ เป็นเพราะผู้นั้นเดินล้มไปเอง หาใช่เป็นเพราะแผ่นดินโกรธเคืองไม่”
น: “นั่นแลฉันใด นี่ก็ฉันนั้นเหมือนกัน พระองค์มิได้ทรงยินร้ายต่อท่านเหล่านั้น การที่ทรงขับไล่ก็เพราะความผิดของท่านเหล่านั้นเป็นเหตุ และทั้งทรงเห็นประโยชน์ว่าพระภิกษุเหล่านั้นจักพ้นความเกิดความแก่ความตายได้ด้วยอุบายอย่างนี้”
ม: “ฟังได้”
จบภิขุปณามปัญหา