ปัญหาที่ ๖ สะเก็ดหินกระเด็นโดนพระบาทของพระพุทธเจ้า (ภควโตปาทปัปปฏิกติตปัญหา)
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า “ดูก่อนพระนาคเสน ที่เธอว่าพระพุทธองค์เสด็จดำเนินไปทางไหน แผ่นดินซึ่งไม่มีเจตนาแห่งใดลุ่มก็ฟูขึ้น แห่งใดดอนก็ยุบลง เรียบราบเสมอกัน ฉะนี้มิใช่หรือ”
พระนาคเสนทูลตอบว่า “ขอถวายพระพร เป็นดังพระองค์ตรัสนั้นแล”
ม: “ก็เป็นเหตุไฉน พระบาทของพระพุทธเจ้าจึงถูกสะเก็ดหินกระทบ”
น: “เป็นเพราะสะเก็ดหินนั้นมิได้ตกลงตามธรรมดาของตน แต่ตกลงมาด้วยความเพียรพยายามของพระเทวทัต ขอถวายพระพร พระเทวทัตผูกอาฆาตในพระพุทธเจ้ามานานจึงพยายามกลิ้งหินก้อนโตขนาดเท่าเรือนยอด หวังจะให้ทับพระพุทธเจ้าแต่มีภูเขา ๒ ภูเขาผุดขึ้นมารับไว้ ด้วยกำลังแห่งการกระทบกันนั้น จึงมีสะเก็ดหินกระเด็นไปต้องพระบาทพระพุทธเจ้าเข้า”
ม: “ก็มีภูเขาผุดขึ้นมารับตั้ง ๒ ภูเขาแล้วทำไมจึงกระเด็นลงไปถูกได้อีกเล่า”
น: “ขอถวายพระพร แม้มีของรองรับแล้ว แต่ก็ยังรั่วไหลไปได้เหมือนเทน้ำลงในฝ่ามือ น้ำก็ย่อมรั่วไหลออกตามนิ้วมือได้ฉะนั้น”
ม: “เอาละข้อนั้นข้าพเจ้าเข้าใจ แต่มาสงสัยว่า ทำไมสะเก็ดหินจึงไม่กระทำความเคารพยำเกรงเหมือนอย่างแผ่นดินใหญ่บ้างเล่า”
น: “ขอถวายพระพร เหตุปัจจัยที่จะไม่ให้กระทำความเคารพยำเกรงมีอยู่ดังนี้ คืออำนาจแห่งราคะ, อำนาจแห่งโทสะ, อำนาจแห่งโมหะ, อำนาจแห่งโลภะ, อำนาจแห่งความพยาบาท, อำนาจแห่งมานะ, อำนาจแห่งอิติมานะ, ความไม่นิยมนับถือ, ความเป็นคนเลว, ความไม่มีอิสระแก่ตน, ความตระหนี่ตน, ความสาละวนแต่งาน
ขอถวายพระพร ก็และสะเก็ดหินชิ้นนั้น กลิ้งมาด้วยอำนาจความพยาบาทของพระเทวทัตแตกออกเพราะกระทบกัน เหตุกำลังแรงนั้นแลสะเก็ดหินจึงกระเด็นไปถูกพระบาทพระพุทธเจ้าเข้า เหมือนละอองอันกำลังลมพัดหอบไป ย่อมกระจายไปทั่วทิศฉะนั้น”
ม: “ฟังได้”
จบภควโตปาทปัปปฏิกติตปัญหา
ปัญหาที่ ๗ ทานกถา มิใช่แทนการพูดเทียมขอ (คาถาภิคีตโภชนทานกถายกถนปัญหา)
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า “ดูก่อนพระนาคเสน พระพุทธเจ้าตรัสว่า
‘การไม่บริโภคโภชนะที่ได้มาจากการกล่าวขับคาถา (พูดเทียมขอ) เป็นจารีตของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย’
ฉะนี้มิใช่หรือ”
พระนาคเสนทูลตอบว่า “ขอถวายพระพร เป็นดังพระองค์ตรัสนั้นแล”
ม: “ก็ถ้าอย่างนั้น เหตุไรเมื่อพระพุทธองค์ตรัสอนุปุพพิกถา
(อนุปุพพิกถา คือ เทศนาที่แสดงไปโดยลำดับ เพื่อฟอกอัธยาศัยของผู้ฟังให้หมดจดเป็นชั้นๆ มี ๕ อย่างดังนี้ คือ:-
(๑) ทานกถา กล่าวถึงลักษณะและประโยชน์ของการให้
(๒) สีลกถา กล่าวถึงความประพฤติเรียบร้อย
(๓) สัคคกถา กล่าวถึงความดีความงามอันผู้ให้ทานรักษาศีลขึ้นนั้นจะพึงได้รับ
(๔) กามาทีนวกถา กล่าวถึงผลความดีความงามอันเกิดแต่ทานศีลนั้นว่า แม้จะมีผลเป็นสุข แต่ก็ยังเจือไปด้วยความทุกข์
(๕) เนกขัมมานิสังสกถา กล่าวถึงคุณของการทำจิตมิให้หมกมุ่นอยู่ในความสุขอันเจือทุกข์นั้น
อนุปุพพิกถานี้ ปรากฏว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงคราวเมื่อผู้ฟังมีอุปนิสัยสามารถจะได้บรรลุมรรคผล เพราะผู้ที่ไม่เห็นแก่ตัวบริจาคทรัพย์ของตนเกื้อกูลแก่ผู้อื่น มีความประพฤติเรียบร้อย, ตั้งตนไว้ในสุขสมบัติได้แล้ว แต่ไม่หมกมุ่นอยู่ในความสุขนั้น พิจารณาเห็นโทษเกิดความเบื่อหน่าย หวังความสุขอันสงบยิ่งขึ้น, ย่อมเป็นผู้สมควรรับเทศนาอย่างสูงขึ้นไปอีก ประหนึ่งผ้าที่ฟอกสะอาดหมดจดแล้ว ย่อมรับน้ำย้อมต่างสีได้ตามความประสงค์ฉะนั้น)
จึงทรงยกทานกถาตรัสพรรณนาถึงทานการให้และผลของการให้ เป็นกถาหนึ่งและตรัสไว้ในเบื้องต้นด้วยเล่า จนเทวดา และมนุษย์ทั้งหลายพากันยินดีถวายทาน ตามพระดำรัสที่ตรัสสอนนั้น”
น: “ขอถวายพระพร เหตุที่พระพุทธเจ้าตรัสอนุปุพพิกถาทรงยกทานการให้เป็นข้อหนึ่ง และตรัสไว้เป็นข้อต้นด้วยนั้น ก็เพราะว่า การบริจาคทานย่อมเป็นปัจจัยแห่งการอำนวยประโยชน์สุขได้ประการหนึ่ง และทั้งเป็นดุจบันไดขั้นต้นที่ชักจูงใจทายกให้ก้าวหน้าต่อไปยังคุณเบื้องบน เหตุนี้พระองค์จึงตรัสสอนและทรงชี้แจงก่อนธรรมข้ออื่น
ขอถวายพระพร เนื่องด้วยพระพุทธองค์ทรงแสดงทานและผลของทานให้ทายกผู้บริจาคทานฟังเช่นนี้ พระองค์จึงทรงบัญญัติกฏเกณฑ์ห้ามมิให้ภิกษุแสวงหาในทางที่ผิดจากพุทธจารีต เช่นทรงห้ามไม่ให้ออกปากขอของต่อคนที่ไม่ควรขอ หรือในเวลาที่ไม่ควรขอ เป็นต้น
เพื่อจะได้เป็นระเบียบให้พระภิกษุประพฤติตนสมควรแก่ทักขิณาทานนั้น ๆ และอีกทั้งจะได้เป็นปัจจัยส่งเสริมทานสมบัติให้เกิดผลไพบูลย์ยิ่งขึ้น ขอถวายพระพร ทั้งนี้ก็เพราะว่า พระองค์ทรงประพฤติตามจารีตของพระพุทธเจ้าทั้งทลาย ดังพระพุทธพจน์ในเบื้องต้นนั้นแล”
ม: “เธอฉลาดว่า”
จบคาถาภิคีตโภชนทานกถายกถนปัญหา