ปัญหาที่ ๔ การถวายบิณฑบาตที่มีผลมากสุด (เทฺวปิณฑปาตมหัปผลภาวปัญหา)
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า “ดูก่อนพระนาคเสน พระพุทธเจ้าเสวยพระกระยาหาร ของนายจุนทะแล้ว ก็ทรงพระประชวรเสด็จเข้าสู่นิพพาน ฉะนี้มิใช่หรือ”
พระนาคเสนทูลตอบว่า “ขอถวายพระพร เป็นดังพระองค์ตรัสนั้นแล”
ม: “ถ้ากระนั้น จะมิเป็นอันว่า การถวายอาหารบิณฑบาตของนายจุนทะ กระทำให้พระพุทธเจ้าต้องเสด็จเข้าสู่ปรินิพพานหรือ”
น: “มิใช่อย่างนั้น ขอถวายพระพร การถวายอาหารบิณฑบาตของนายจุนทะนั้น หาได้เป็นการทอน (ลด) พระชนมายุของพระพุทธองค์ไม่เลย
เพราะว่าก่อนแต่วันนั้น พระองค์ก็แน่พระหฤทัยอยู่แล้วว่าจักต้องนิพพานในวันนั้นแน่นอน”
ม: “ก็แลเหตุอะไรเล่า พระพุทธองค์ จึงตรัสยกย่องทานนั้นว่ามีผลอานิสงส์ล้ำเลิศ ยิ่งถึงกะทรงเทียบเท่ากับผลทานของนางสุชาดาผู้ถวายเมื่อก่อนหน้าตรัสรู้”
น: “ขอถวายพระพร เหตุที่ทำให้การถวายอาหารบิณฑบาตของนายจุนทะมีผลานิสงส์ยิ่งใหญ่นั้น ก็เพราะว่าพระพุทธองค์ทรงเสวยอาหารบิณฑบาตนั้นแล้ว
ตอนปัจฉิมยามก็เสด็จเข้าสู่อนุปุพพวิหารสมาบัติ (อนุปุพพวิหารสมาบัติคือ สมาปัตติธรรมเป็นเครื่องอยู่โดยลำดับกันมี ๙ ประการ คือ รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ สัญญาเวทยิตนิโรธ ๑) ๙ ประการโดยอนุโลมและปฏิโลม ครั้นแล้วก็เสด็จปรินิพพาน”
ม: “เธอว่านี้ชอบแล้ว”
จบเทฺวปิณฑปาตมหัปผลภาวปัญหา
ปัญหาที่ ๕ พุทธบูชา (พุทธปูชานุญญาตปัญหา)
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า “ดูก่อนพระนาคเสน พระพุทธเจ้าตรัสไว้ต่อหน้าพระอานนท์ว่า
‘ท่านทั้งหลายจงอย่าได้ขวนขวาย ในการบูชาสรีระของตถาคตเลย’
ฉะนี้มิใช่หรือ”
พระนาคเสนทูลตอบว่า “ขอถวายพระพร ตรัสดังนั้นจริง”
ม: “ก็เหตุไร พระพุทธองค์จึงตรัสไว้อีกว่า จงบูชาธาตุของบุคคลผู้ควรบูชา (เรื่องเดิมที่จะให้เกิดปัญหานี้มีอยู่ดังนี้ เมื่อพระพุทธเจ้าทรงประชวรใกล้จะนิพพาน พระอานนท์พุทธอุปฐากทูลถามถึงการที่พุทธสาวกจะพึงปฏิบัติในพระพุทธสรีระอย่างไร
พระพุทธองค์จึงตรัสว่า เหล่าภิกษุจงมุ่งหมายดับทุกข์ดับกิเลสอันเป็นประโยชน์ของตนเถิด อย่าได้ขวนขวายในการบูชาสรีระของตถาคตเลย เพราะว่ากิจนั้น ๆ เป็นธุระของกษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดี ผู้เป็นบัณฑิต
แต่พระอานนท์เป็นผู้ไปในอำนาจแห่งเหตุ จึงทูลย้อนถามว่า ก็เมื่อบัณฑิตยชนนั้น ๆ จะบูชา จะพึงปฏิบัติในพระพุทธสรีระอย่างไร พระพุทธองค์จึงตรัสให้ปฏิบัติอย่างเดียวกันกับสรีระของพระเจ้าจักรพรรดิ์ และตรัสว่า แม้อัฐิธาตุก็พึงทำสถูปบรรจุไว้ ณ ทางสี่แพร่งเช่นเดียวกัน เพื่อจะได้เป็นที่สักการบูชาของหมู่ชนอันมาแต่ทิศทั้ง ๔)
ฉะนี้อีกเล่า”
น: “ขอถวายพระพร พระพุทธพจน์ตอนต้นพระองค์ตรัสด้วยมุ่งพระหฤทัยจะเตือนพระภิกษุ มิให้ใส่ใจในการที่จะต้องขวนขวายในการบูชา แล้วจะได้มีโอกาสพิจารณาสังขารทั้งหลายให้รู้จริงเห็นจริงตามคติธรรม
ส่วนพระพุทธพจน์หลังนี้ พระองค์ตรัสให้เป็นกิจสัมมาปฏิปทาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย”
ม: “เธอจะหาตัวอย่างมาเปรียบให้ฟัง”
น: “ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนการเรียนศิลปะอันเกี่ยวด้วยช้าง ม้า รถ ธนู เป็นกิจของพวกกษัตริย์
การเรียนไตรเพท และลักษณศาสตร์เป็นกิจของพวกพราหมณ์
การเรียนกสิกรรมเป็นกิจของพวกเวศย์
การเรียนวิชาพล มากกว่านี้เป็นกิจของพวกศูทร
นี้ฉันใด การบูชาพระสรีระผู้ควรบูชาก็ฉันนั้นเหมือนกัน มิใช่เป็นกิจที่พระภิกษุผู้มีหน้าที่ทำลายบาปอกุศลทั้งหลายจะพึงกระทำ เป็นกิจโดยตรงของเทวดาและมนุษย์ผู้หวังบุญกุศล จะต้องกระทำการขวนขวายไปตามรูปและภาวะของตน ๆ”
ม: “เข้าใจละ”
จบพุทธปูชานุญญาตปัญหา