ปัญหาที่ ๑๐ พลังแห่งอิทธิบาท (อิทธิปาทพลทัสสนปัญหา)
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า “ดูก่อนพระนาคเสน พระพุทธพจน์ที่ตรัสแก่พระอานนท์ว่า อิทธิบาท ๔ ประการ (๑. ฉันทะ ความพอใจ, ๒. วิริยะ ความเพียร, ๓. จิตต ความเอาใจใส่, ๔. วิมังสา การพิจารณา) ตถาคตได้ให้เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้วและด้วยอานุภาพแห่งการเจริญอิทธิบาทนั้น ถ้าตถาคตประสงค์จะดำรงชีวิตอยู่ต่อไป ตลอดกัปป์หนึ่งหรือเกินกว่ากัปป์ขึ้นไปก็อาจอยู่ต่อไปได้สมประสงค์
ตอนต้นตรัสไว้ฉะนี้ แต่ไฉนตอนหลังพระพุทธองค์จึงตรัสว่า
‘ดูก่อนอานนท์ อีกสามเดือนตถาคตจักปรินิพพาน’
นี่แลเธอพระพุทธพจน์ทั้งสองตอนนี้ฟังดูไม่สมกันเลยเธอจะว่าอย่างไร เพื่อที่ว่าพระพุทธพจน์ตอนหลังจึงจะไม่แย้งตอนต้นนั้นได้”
พระนาคเสนทูลตอบว่า “ขอถวายพระพร พระพุทธพจน์ตอนหลังนั้น พระพุทธองค์ตรัสโดยทรงกำหนดพระชนมายุ ซึ่งจะสิ้นสุดลงภายในเขตกำหนดนั้น
ส่วนตอนต้นพระองค์ตรัสด้วยมีพระพุทธประสงค์จะทรงแสดงอานุภาพแห่งการ เจริญอิทธิบาท ๔ ประการว่า สามารถจะให้สำเร็จผลได้สมประสงค์ทุกอย่าง ซึ่งเป็นการไม่เหลือวิสัยที่สุดแม้จะให้อายุยืนยาวออกไปอีกก็ได้”
ม: “อานุภาพแห่งการเจริญอิทธิบาทอาจจะต่ออายุให้ยืนยาวได้จริงดังนั้นทีเดียวหรือเธอ”
น: “ขอถวายพระพร ต่อได้จริง”
ม: “ก็ถ้าอย่างนั้น เหตุไฉนพระพุทธองค์ จึงไม่เสด็จดำรงพระชนม์อยู่ต่อไปอีกเล่ามาด่วนนิพพานเสียทำไม”
น: “อาตมภาพจะขอทูลถามพระองค์ก่อนว่า พระองค์ทรงเชื่อความเร็วแห่งฝีเท้าม้า ของพระเจ้าจักรพรรดิ์ซึ่งวิ่งเร็วดังลมพัดหรือไม่”
ม: “เชื่อสิเธอ เพราะเป็นม้าวิเศษซึ่งถึงกะได้นามว่าม้าแก้ว”
น: “ก็เมื่อความเจริญมีอยู่เช่นนั้น แม้พระเจ้าจักรพรรดิ์จะมิได้เสด็จขึ้นทรงอวดคนทั้งหลายเลย ความเร็วแห่งฝีเท้าม้านั้น จะชื่อว่าเป็นอันมีอยู่หรือไม่”
ม: “ก็มีสิเธอ ความเร็วมีอยู่อย่างใด ก็คงมีอยู่อย่างนั้น หากแต่พระเจ้าจักรพรรดิมิได้ทรงให้ดูเท่านั้น”
น: “ขอถวายพระพร เรื่องนี้ฉันใด แม้พระพุทธเจ้าก็ฉันนั้นเหมือนกัน ถ้าพระองค์จะประสงค์ดำรงพระชนม์อยู่ต่อมาให้ยืดยาว ก็อาจดำรงพระชนม์ให้ยืดยาวต่อมาได้ ด้วยอานุภาพแห่งการเจริญอิทธิบาทธรรม ๔ ประการนั้น
ขอถวายพระพร แต่พระพุทธองค์หามีพระประสงค์เช่นนั้นไม่ เหตุที่เป็นดังนั้นก็เพราะว่าพระองค์ไม่ทรงผูกพันในการที่จะมีพระชนม์อยู่ต่อมา ข้อนี้จะพึงพิสูจน์ได้จากพระพุทธพจน์ที่ตรัสไว้ว่า
‘ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาคูถ (ของเน่าเสีย อุจจาระ ปัสสาวะ) แม้จะมีประมาณน้อยก็มีกลิ่นเหม็นฉันใด เราตถาคตไม่สรรเสริญความเกิดแม้มีประมาณน้อยฉันนั้นเหมือนกัน’
ขอถวายพระพร ตามนัยแห่งพระพุทธพจน์นี้ย่อมชี้ให้เห็นว่า การมีชีวิตอยู่ได้ยืดยาว ไม่เป็นความปรารถนาของพระพุทธองค์นัก แต่ก็ไม่ถึงกะทรงรังเกียจการมีพระชนม์อยู่ต่อไป เป็นอันว่าพระพุทธองค์ไม่ทรงประสงค์หรือไม่ทรงเบื่อหน่ายต่อความเป็นอยู่อันยืดยาวแห่งพระชนม์มายุ พระหฤทัยมิได้ทรงฝักใฝ่ในเรื่องนี้ คติธรรมดาแห่งสังขารมีอยู่อย่างใดก็ทรงปล่อยให้เป็นไปอย่างนั้น”
ม: “เธอว่านี้ชอบแล้ว”
จบอิทธิปาทพลทัสสนปัญหา
จบวรรคที่ ๑
วรรคที่ ๒
ปัญหาที่ ๑ พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ถอนสิกขาบทได้เล็กน้อย (ขุททานุขุททกปัญหา)
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า “ดูก่อนพระนาคเสน พระพุทธพจน์ที่ว่า
‘ภิกษุทั้งหลายเราตถาคตแสดงธรรมเพื่อความรู้ยิ่ง มิได้แสดงเพื่อความรู้ไม่ยิ่ง’
ฉะนี้นั้นมีจริงหรือ”
พระนาคเสนทูลตอบว่า “ขอถวายพระพร มีอยู่จริง”
ม: “ถ้าอย่างนั้น เหตุไฉนเมื่อจวนจะนิพพานจึงจะตรัสกะพระอานนท์ว่า
‘เมื่อตถาคตนิพพานแล้ว สงฆ์จำนงจะถอนสิกขาบท (Education :ข้อที่จะต้องศึกษา) เล็กน้อยก็จงถอนเถิด’
ตามนัยนี้จะมิเป็นอันว่า สิกขาบทเล็กน้อยที่ทรงบัญญัติไว้นั้น มิได้เป็นไปเพื่อความรู้ยิ่งหรือ จึงทรงอนุญาตการถอนไว้และถ้าเป็นจริงจะมิค้านกับพระพุทธดำรัสต้นนั้นไปหรือ”
น: “ขอถวายพระพร ไม่ค้าน การที่ทรงอนุญาตให้สงฆ์ถอนสิกขาบทเล็กน้อยนั้นก็ด้วยมีพระพุทธประสงค์จะตรัสลองใจพระภิกษุสงฆ์ดู
เปรียบเหมือนพระเจ้าจักรพรรดิ์ตรัสกะพระราชโอรสในเวลาจวนจะสวรรคตว่า เขตพระราชอาณาจักรกว้างขวางมากนักยากแก่การปกครอง เมื่อลูกจะทอดทิ้งเสียบ้างก็ตามใจเถิด แล้วก็เสด็จสวรรคต
ขอถวายพระพรพระราชกุมารนั้นจะพึงทอดทิ้งเขตแดนซึ่งพระชนกปราบไว้ได้นั้น ๆ ทีเดียวหรือ”
ม: “หามิได้ ด้วยว่าธรรมดาพระมหากษัตริย์ย่อมมีความประสงค์อย่างยิ่งในการที่จะขยายพระราชอาณาเขต”
น: “ขอถวายพระพร นั้นแลฉันใด นี่ก็ฉันนั้นเหมือนกันการที่พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้สงฆ์ถอนสิกขาบทเล็กน้อยนั้นก็ด้วยมีพระพุทธประสงค์จะตรัสลองใจพระภิกษุสงฆ์ แต่พระหฤทัยทรงมุ่งจะให้สงฆ์คุ้มครองรักษาสิกขาบทเล็กน้อยนั้น ๆ ไว้ด้วยความปรารถนาในข้อวัติปฏิบัติ เพื่อขยายการบำเพ็ญออกไปเช่นเดียวกัน เมื่อเป็นเช่นนี้จะว่าพระพุทธพจน์ของพระองค์ไม่เป็นไปเพื่อความรู้ยิ่งได้อย่างไร”
(คำถวายวิสัชนาของพระนาคเสนในปัญหานี้ ข้อที่ว่าพระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้สงฆ์ถอนสิกขาบทเล็กน้อย ด้วยมีพระพุทธประสงค์จะตรัสลองใจพระภิกษุสงฆ์ แต่พระหฤทัยทรงมุ่งจะให้สงฆ์ปรารถนาในข้อวัติปฏิบัติยิ่งขึ้นนั้น ฟังดูไม่สมกับพระพุทธจรรยา เพราะปฏิปทาของพระพุทธเจ้าไม่มีปรากฏที่ไหนว่า ทรงดำริอย่าง ๑
แต่ตรัสไปอีกอย่าง ๑ ยิ่งกว่านี้พระพุทธโอวาททั้งหลายจะชี้ให้เห็นว่า พระองค์เป็น
ผู้มีกายวาจาใจตรงกัน แต่ก็เหตุไฉนพระปิฏกจุฬาภัย (ท่านผู้แต่งหนังสือมิลินทปัญหานี้)
จึงได้กล่าวไว้เช่นนี้ ข้อนี้เห็นจะเป็นด้วยท่านเชื่อมั่นในอนาคตังสญาณของพระพุทธเจ้า
ว่า "พระพุทธองค์ย่อมทรงทราบว่า สงฆ์ไม่อาจถอนสิกขาบทเล็กน้อยที่ทรงอนุญาต
ไว้นั้น" เมื่อท่านคาดพระพุทธญาณตอนนี้ผิดก็เลย อ่านความประสงค์แห่งพระพุทธ
ดำรัสที่ตรัสอนุญาตไว้นั้นผิดไปด้วย
เรื่องพระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ถอนสิกขาบทเล็กน้อยนี้สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้ประทานพระมติไว้ในหนังสือวินัยมุขใจความว่า
"จำนวนแห่งสิกขาบทมาในพระปาฏิโมกข์พอประมาณ จำนวนแห่งสิกขาบทมานอก
พระปาฏิโมกข์มีมากกว่ามากจนพ้นความใส่ใจของผู้ศึกษา นอกจากนี้ยังมีข้อปรับ
อาบัติอันพระคันถรจนาจารย์ตั้งเพิ่มเติมเข้าไว้อีก ซึ่งมากจนฟั่นเฝือเหลือที่จะประพฤติ
ให้ครบครันได้ ทั้งกาละเทศะก็เข้ามาเป็นเหตุขัดขวางด้วย ภิกษุทั้งหลายจึงได้หลีก
เลี่ยงบ้าง เลิกเสียบ้าง กล่าวคือ ทนเป็นอาบัติเอาบ้าง เมื่อเลิกอย่าง ๑ ก็ชวนให้เลิก
อย่างอื่นต่อไปอีกแม้ยังไม่ถึงเวลาฯ พระศาสดาทรงคำนึงเห็นเหตุนี้มาแล้ว เมื่อ
จะนิพพานได้ประทานพระอนุญาตให้ถอนไว้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าถอนตรงๆ เพราะ
เกรงจะไม่สม่ำเสมอซ้ำยังห้ามถอนเสียเมื่อครั้งทำปฐมสังคายนาด้วย"
ความจริงของเรื่องนี้ ต้องเป็นอย่างพระมติที่ทรงประทานไว้นี้ เพราะว่าคติแห่ง
พระวินัย เมื่อกาลเทศะเปลี่ยนแปลงไปแล้ว บางสิกขาบทก็ล่วงสมัย หรือขัดกับ
ความเป็นไปของภูมิประเทศบางแห่ง ข้อนี้เทียบได้กับกฎหมายซึ่งบัญญัติขึ้นในสมัย ๑
ในประเทศ ๑ แต่ต่อมาขัดกับสมัย ๑ หรือกับประเทศอื่น จนบางหมวดบางมาตรา
ใช้ไม่ได้อันคติของเรื่องนี้ พระพุทธเจ้าย่อมทรงทราบตลอดเพราะพระองค์เป็น
ชาติกษัตริย์ มีทางรู้ความเป็นไปของกฎหมายได้ดีเหตุว่า พระวินัยมีคติอยู่อย่างนี้
พระพุทธองค์จึงได้ทรงประทานพระอนุญาตไว้เช่นนั้น )
ม: “เธอว่านี้ชอบแล้ว”
จบขุททานุขุททกปัญหา