ปัญหาที่ ๒ ความรอบรู้ของพระพุทธเจ้า (สัพพัญญูปัญหา)
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า “ดูก่อนพระนาคเสน คำที่ว่าพระพุทธเจ้าเป็น สัพพัญญู (ผู้มีปัญญารอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง: All-knowing) รู้ทุกสิ่งทุกอย่างนั้น จริงหรือ”
พระนาคเสนทูลตอบว่า “ขอถวายพระพร จริง แต่ว่าความรู้นั้น ๆ หาได้มีแนบกับพระหฤทัยอยู่ทุกขณะไม่ จะปรากฏขึ้นก็ต่อเมื่อพระพุทธองค์ได้ทรงนึกเสียก่อน”
ม: “ถ้าเป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าก็ไม่ใช่สัพพัญญู เพราะว่าถ้าเป็นสัพพัญญูจริงแล้วพระองค์ก็ไม่ต้องนึกไว้ก่อนสิเธอ”
น: “เมื่อพระองค์ยังไม่ทรงพระราชดำริเห็นด้วย อาตมภาพจะเปรียบถวาย คือเหมือนต้นไม้ต้นหนึ่งมีผลเต็มต้น แต่ยังไม่มีร่วงหล่นเลยสักผลเดียว
เมื่อเป็นดังนั้น จะว่าไม้ต้นนั้นไม่มีผลหรือมีผลน้อยเพราะเหตุที่ผลยังไม่หล่นจะได้หรือ”
ม: “ไม่ได้สิเธอ”
น: “หรือเปรียบเหมือนผู้ที่มีทรัพย์สมบัติบริบูรณ์ทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อแขกมาถึงบ้านพ้นจากเวลาบริโภคอาหาร ย่อมจัดหาอาหารมาเลี้ยงแขกไม่ได้ในทันที
ขอถวายพระพร เมื่อเป็นเช่นนี้จะว่าผู้นั้นไม่มีสมบัติบริบูรณ์จริง เพราะเหตุบกพร่องอาหารในขณะนั้น จะได้หรือ”
ม: “ไม่ได้ อย่าว่าแต่ผู้มีฐานะอย่างนั้นเลย แม้แต่ในพระราชวังของพระเจ้าจักรพรรดิ ก็ยังต้องเป็นเช่นนั้น”
น: “ขอถวายพระพร พระพุทธเจ้าก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน คือพระองค์ย่อมมีความรู้บริบูรณ์ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ว่าความรู้นั้น ๆ หาได้ประจำอยู่กับพระหฤทัยทุกขณะไม่ ต่อเมื่อพระองค์ได้ทรงหยั่งพระหฤทัยส่องลงไปยังเรื่องใดจึงจะทรงรู้ทรงเห็นเรื่องนั้น ได้ตลอด
ขอถวายพระพร การที่พระพุทธเจ้าทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งทุกอย่างได้เช่นนั้น ก็เพราะปรากฏว่า เมื่อครั้งพระพุทธองค์ยังทรงพระเยาว์ได้ทรงศึกษาศิลปวิทยามามากอย่าง และได้ทรงพยายามศึกษาเรื่อยมาจนพระชนมายุถึง ๓๕ ปี จึงทรงจับหลักฐานแห่งความจริงของสภาพทั้งหลายโดยลำพังพระองค์เองได้ ความรู้หลักความจริงนั้นและเป็นเหตุทำพระหฤทัยของพระองค์ให้มีปรกติผ่องใสอยู่ได้ทุกขณะ
เพราะฉะนั้นเมื่อทรงฉายพระหฤทัยส่องไปยังเรื่องใด จึงทรงรู้ทรงเห็นเรื่องนั้นได้ชัดเจนพร้อมทั้งเหตุผล
ขอถวายพระพร เพราะเหตุดังกล่าวมานี้แลพระพุทธเจ้าจึงเป็นสัพพัญญูรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง”
ม: “เธอฉลาดว่า”
จบสัพพัญญูปัญหา
ปัญหาที่ ๓ พระพุทธเจ้าทรงบวชให้พระเทวทัต (เทวทัตตปัพพชิตปัญหา)
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า “ดูก่อนพระนาคเสน พระเทวทัตใครบวชให้”
พระนาคเสนทูลตอบว่า “ขอถวายพระพร พระพุทธเจ้าทรงบวชให้”
ม: “พระเทวทัตบวชแล้วจึงทำลายสงฆ์มิใช่หรือ”
น: “ใช่ ขอถวายพระพร ด้วยว่าคนอื่นนอกจากพระภิกษุสงฆ์แล้ว ทำลายสงฆ์ไม่ได้”
ม: “อันผู้ทำลายสงฆ์ต้องรับโทษหนักมากมิใช่หรือ”
น: “ขอถวายพระพร ถูกแล้ว”
ม: “ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น ทำไมพระพุทธเจ้าจึงบวชให้เล่าหรือว่าพระองค์ไม่ทรงทราบอีกว่าพระเทวทัตจะทำลายสงฆ์”
น: “ขอถวายพระพร ทรงทราบ”
ม: “ถ้าเป็นอย่างนั้นคำที่ว่า พระพุทธเจ้า มีพระมหากรุณาเป็นพระอัธยาศัยก็ผิด แต่ถ้าจะว่า ไม่ทรงทราบ คำว่าพระพุทธเจ้าเป็นพระสัพพัญญู ทรงหยั่งรู้เหตุผลทุกสิ่งทุกอย่างนั้นก็ผิด อีกแย้งกันอยู่เช่นนี้ เธอจะว่าอย่างไรจึงจะสมด้วยคำทั้งสองนั้น”
น: “อาตมภาพจะขอยกตัวอย่างมาเปรียบถวายก่อนเหมือนบุรุษผู้หนึ่ง มีบุตรเป็นคนเกกมะเหรกประพฤติเลวทรามต่าง ๆ บุรุษผู้เป็นบิดาพยายามปลอบโยนชี้แจงคุณ และโทษแห่งการประพฤตินั้น ๆ ให้ฟังบุตรก็ไม่เชื่อฟัง ครั้นจะเพิกเฉยเสียก็สงสาร ด้วยเกรงบุตรว่าจะชั่วช้าได้รับความทุกข์ยากหนักขึ้น จึงฝืนใจกระทำโทษทรมานบุตร
ขอถวายพระพร เช่นนี้จะว่าบุรุษผู้บิดานั้นไม่กรุณาบุตร และไม่รู้คุณและโทษแห่งการทรมานนั้น จะได้หรือ”
ม: “ไม่ได้สิเธอ เพราะว่ารู้และสงสารบุตร จึงนิ่งเฉยอยู่ไม่ได้ต้องจำใจกระทำเช่นนั้น”
น: “ขอถวายพระพร ตัวอย่างนี้เป็นพยานให้เห็นว่าคำกล่าวทั้ง ๒ นั้นไม่มีผิด เนื่องด้วยพระพุทธองค์ทรงสงสาร และทรงหยั่งรู้คุณ และโทษของการบวชนั้นแล จึงให้พระเทวทัตบวชเสีย
เพราะทรงทราบว่า ถ้าเพิกเฉยไม่บวชให้ พระเทวทัตก็จะมีโอกาสทำได้แต่ความชั่วอย่างสามัญ ได้รับทุกข์แต่พอประมาณโทษไม่ถึงสาหัส เมื่อเป็นเช่นนี้พระเทวทัตก็จะไม่เข็ด จะทิ้งนิสัยเลวทรามนั้นไม่ได้ความทุกข์ก็จะตามเผาผลาญได้เรื่อยไป
เมื่อทรงเห็นว่ามีอุบายที่จะทรมานได้ แต่อย่างนี้ทางเดียวเท่านั้น ซึ่งจะทำให้พระเทวทัตหลาบจำให้ละนิสัยอันนั้นกลับมาประพฤติดีได้ต่อไป
ขอถวายพระพร เพราะเหตุฉะนี้แล พระพุทธเจ้าจึงทรงบวชให้พระเทวทัต”
ม: “เธอว่านี้ชอบแล้ว”
จบเทวทัตตปัพพชิตปัญหา