บทความ
 เคมี (Chemistry)
 สู่อิสรภาพทางการเงิน (To Financial Freedom)
 การคำนวณ และออกแบบ (Calculation and design)
 เทคโนโลยีการเกษตร (Agricultural Technology)
 เครื่องมือกล (Machine tools)
 Laws of Nature
 อวกาศ
 พลังงาน
 อิเล็กทรอนิกส์
 ทฤษฏีสัมพัทธภาพ
 ไครโอเจนิกส์
 เฮลิคอปเตอร์
 เกียร์อัตโนมัติ
 โทรศัพท์มือถือ
 ยาง
 รถไฟความเร็วสูง
 คลัตช์ และกระปุกเกียร์ธรรมดา
 เจ็ทแพ็ค
 แผ่นดินไหว
 คู่มือ ต้องรอด
 โรงไฟฟ้าพลังน้ำ
 ดาวเทียม
 เชื่อมโลหะใต้น้ำ
 กังหันลมผลิตไฟฟ้า
 เครื่องยนต์ดีเซล
 เครื่องยนต์เบนซิน
 คัมภีร์สงครามซุนวู ฉบับเข้าใจง่าย
 โลหะ
 ฟิสิกส์
 ปัญหาพระยามิลินท์
 ยานยนต์สมัยใหม่
 แมคาทรอนิกส์
 เครื่องกล 6 แกน
 เครื่องยนต์เจ็ท
 หุ่นยนต์
 สินค้า ผลงาน
 เขียนแบบ
 ออกแบบ คำนวณ
 วางโครงการ
 งานโลหะ
 อุปกรณ์
 เครื่องกล
วันนี้ 819
เมื่อวาน 2,159
สัปดาห์นี้ 15,056
สัปดาห์ก่อน 12,965
เดือนนี้ 56,256
เดือนก่อน 76,610
ทั้งหมด 4,400,753
  Your IP :18.116.239.195

ปัญหาเสริม พระนางปชาบดีโคตรมี ทรงถวายผ้าแด่พระพุทธเจ้า (โคตรมีวัตถุนิทานปัญหา)

 

      พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า “ดูก่อนพระนาคเสน ปรากฏว่าเมื่อพระนางปชาบดีโคตมี นำคู่ผ้าซึ่งพระนางพยายามทำอย่างประณีตทุกอย่าง ไปถวายพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่า เป็นของมีค่า ถ้าให้ทรงถวายแด่พระสงฆ์ ก็จะเกิดผลอันไพศาล จึงตรัสแนะนำให้พระนางทรงนำผ้าคู่นั้นไปถวายแด่พระสงฆ์เรื่องนี้จริงหรือเธอ”

 

      พระนาคเสนทูลตอบว่า “ขอถวายพระพร จริง”

 

      ม: “ถ้าเป็นเช่นนั้น พระสงฆ์จะมิประเสริฐกว่าพระพุทธเจ้าหรือ จึงสมควรแด่ผ้าผืนนั้น”

 

      น: “ขอถวายพระพร การที่พระพุทธเจ้ามีพระพุทธดำรัสแนะนำให้ทรงกระทำเช่นนั้นก็ด้วยมีพระพุทธประสงค์จะเชิดชูพระสงฆ์ เพียงเท่านี้ไม่เป็นเหตุที่จะจัดว่า พระสงฆ์ประเสริฐกว่าพระพุทธเจ้า

 

      อาตมภาพจะเปรียบถวาย เหมือนชายชราผู้หนึ่งเห็นว่าบุตรของตนเป็นคนดี จึงกล่าวยกย่องขึ้นในที่ประชุม เมื่อเป็นเช่นนั้นจะจัดว่า บุตรดีกว่าชายชราผู้บิดาโดยเหตุที่ได้รับยกย่องกระนั้นหรือ”

 

      ม: “ด้วยเหตุเท่านั้น บุตรจะดีกว่าบิดาไปได้อย่างไรเล่าเธอ ข้าพเจ้าเห็นว่า บิดาเป็นคนดีและฉลาดในการปกครองด้วย เพราะเมื่อบุตรเห็นบิดาแสดงเมตตาจิตเช่นนั้น ก็ย่อมจะพยายามทำความดี เพื่อดำรงวงศ์สกุลให้ยิ่ง ๆ ขึ้น นอกจากนี้ ญาติมิตรทั้งหลายก็จะพากันนิยมนับถือบุตรชายผู้นั้นขึ้นอีกด้วย”

 

      น: “ขอถวายพระพร พระพุทธเจ้าก็ดียิ่งเช่นนั้นเหมือนกัน ข้อที่จะพึงพิสูจน์พระคุณสมบัติ ย่อมได้จากเรื่องนี้แล คือการที่พระพุทธองค์ไม่ทรงรับผ้าไว้ใช้สอยเป็นส่วนพระองค์นั้นส่อให้เห็นว่า พระองค์มิได้เห็นแต่ประโยชน์สุขของพระองค์ส่วนเดียว มีพระหฤทัยมุ่งแต่จะให้เกิดประโยชน์สุขแก่คนจำนวนมากต่อไปเท่านั้น เพราะทรงเห็นว่า เมื่อพระองค์นิพพานไปแล้ว พระสงฆ์แหละจะเป็นผู้ดำรงศาสนาวงศ์คำสั่งสอนของพระองค์ได้ยืดยาวไปถึงคนภายหลังได้

 

      อนึ่งทรงเห็นว่า พระสงฆ์ก็เป็นทักขิเณยยบุคคล (บุคคลผู้ควรทำบุญ) สมควรแก่เครื่องสักการบูชาเช่นนั้นเหมือนกัน ทั้งจะเป็นตัวอย่างชวนให้ผู้บริจาคทานในภายหลังเห็นคุณสมบัติของพระสงฆ์ ในเมื่อมาคำนึงถึงเรื่องนี้ด้วย

 

      ขอถวายพระพร เพราะมีพระพุทธประสงค์อยู่เท่านี้แล จึงตรัสแนะนำให้พระนางทรงนำผ้าคู่นั้นไปถวายแด่พระสงฆ์ ซึ่งจัดเป็นองค์สมบัติประการหนึ่ง  ที่เชิดชูให้พระองค์เป็นผู้ประเสริฐที่สุด”

 

      ม: “เธอนี่สามารถจริง”

 

จบโคตรมีวัตถุนิทานปัญหา

 

 

 

ปรารภเมณฑกปัญหา

วรรคที่ ๑

 

      อยู่มาคืนวันหนึ่ง พระเจ้ามิลินท์เสด็จประทับอยู่ในที่เงียบสงัด ทรงใคร่ครวญถึงข้อธรรมบางประการ ซึ่งมีข้อขอดเป็นสองแง่สองทาง เกิดปัญหาขึ้นในพระราชหฤทัย ทรงวินิจฉัยให้เด็ดขาดไม่ได้ จึงทรงพระปรารภว่า จะต้องพักราชการสัก ๗ วัน สมาทานศีล และระวังจิตมิให้ตกไปในอำนาจแห่งความรัก ความโกรธ ความหลง สำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไว้ให้อยู่ในความควบคุม แห่งสติสัมปชัญญะอยู่ทุกขณะ ถ้วน ๗ วันแล้วจักไปหาพระนาคเสน นิมนต์ให้ท่านแถลงข้อขอดแห่งปัญหาธรรมซึ่งเป็นสองแง่สองทางนั้น ๆ ให้ฟัง

 

มีพระราชดำริอยู่ฉะนี้ รุ่งขึ้นพระองค์ทรงชำระสระพระเกศา ทรงผ้ากาสาวพัสตร์ถือเพศเป็นมุนี ทรงสำรวมกายวาจาใจอยู่สิ้น ๗ วัน ครั้นถึงวันที่ ๘ ก็เสด็จไปหาพระนาคเสน ตรัสเล่าพระราชปรารภและพระราชประสงค์ให้ฟังจนตลอด แล้วทรงเริ่มดำรัสถามปัญหาต่อไป

 

เมณฑกปัญหา ปัญหาที่ ๑ เดียรถีย์ท้วงการบูชาพระพุทธเจ้า (วัชฌาวัชฌปีญหา)

 

      พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า “ดูก่อนพระนาคเสน พวกเดียรถีย์ (นักบวชนอกพระพุทธศาสนาในอินเดียสมัยพุทธกาล มีมาก่อนพระพุทธศาสนา และเป็นปฏิปักษ์ต่อพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง) พูดกันว่า เครื่องสักการะที่เราบูชาพระพุทธเจ้าทุกวันนี้ ถ้าเราเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าทรงยินดีรับ ก็เป็นอันว่าพระองค์ไม่ใช่พระอรหันต์ผู้วิเศษอะไรเพราะเห็นแก่เครื่องบูชา เมื่อเป็นเช่นนี้ การบูชานั้นจะมีคุณได้อย่างไร

 

      แต่ถ้าเราบูชาโดยเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ได้มรรคผลนิพพานจริงพระองค์สิดับสูญไปแล้ว การบูชาพระพุทธองค์ที่เรากระทำกันอยู่ในบัดนี้ จะไปได้รับความยินดีหรือได้รับอนุโมทนาจากใคร เขาว่าการบูชาของเราไร้ผลทั้ง ๒ ประการเช่นนี้ เธอจะแก้เขาว่ากระไร”

 

      พระนาคเสนทูลตอบว่า “ขอถวายพระพร อย่าว่าแต่พระพุทธองค์นิพพานไปแล้วเลย แม้แต่เมื่อยังทรงพระชนม์อยู่ พระองค์ก็ไม่มีความยินดีเพราะความยินดียินร้าย พระองค์ได้ตัดได้เด็ดขาดแล้ว ความข้อนี้พระสารีบุตรท่านก็ได้กล่าวไว้ว่า พระพุทธเจ้า ไม่ทรงยินดีในเครื่องสักการะที่ชนทุกชั้นบูชาที่สุด ไปจนถึงเครื่องราชสักการะ”

 

      ม: “เท่าที่เธอว่านี้ยังฟังไม่ได้ เพราะวิสัยบุตรก็ยกย่องคุณบิดามารดาเป็นธรรมดา”

 

      น: “ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจะยกตัวอย่างมาเปรียบถวายเหมือนไฟกองใหญ่ลุกโพลง อยู่ขณะหนึ่งแล้วมอดไป ขอถวายพระพร ไฟที่มอดแล้วนั้นยินดีต่อหญ้าและไม้ซึ่งเป็นเชื้อหรือไม่ (กองไฟที่ดับไปแล้ว ได้เอาไม้ และหญ้ามาสุมกองไฟใหม่)”

 

      ม: “จะกล่าวไปไยถึงไฟที่มอดแล้ว แม้ไฟเมื่อขณะลุกอยู่ ก็ไม่ยินดี เพราะไม่มีเจตนา”

 

      น: “ก็เมื่อไฟกองนั้นมอดไปแล้ว ต่อมาจะต้องการไฟทำอะไรอีก มิไม่สำเร็จประโยชน์หรือ”

 

      ม: “ต้องการเมื่อไร ก่อใหม่ไฟก็ลุกขึ้นอีก”

 

      น: “พระพุทธเจ้าก็เป็นเช่นเดียวกับไฟนั้นเหมือนกัน   คือนับแต่ขณะเมื่อได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณนั้นมา พระองค์หามีเจตนารู้สึกทรงยินดีต่อสิ่งที่น่าปรารถนา หรือยินร้ายต่อสิ่งที่เป็นข้าศึกไม่ เพราะพระองค์ทรงรู้เท่าทันคติของความยินดียินร้าย

 

      ขอถวายพระพร เนื่องด้วยพระองค์ไม่มีพระหฤทัยทรงยินดียินร้ายนี้แลเป็นเหตุ การบูชาของเราจึงเกิดผลเหมือนไฟโพลงยิ่งขึ้น เพราะอะไร เพราะถ้าพระองค์ทรงยินดีอยู่ เราก็จะตั้งใจคอยรับแต่อนุโมทนาหวังดีจากพระองค์โดยตรงเท่านั้นซึ่งเป็นเหตุให้เรา

คลายต่อกิจการที่ชอบอื่น ๆ และเมื่อพระองค์ทรงยินดีในการที่เราบูชา ก็ต้องทรงยินร้ายในเมื่อเราไม่บูชาหรือบูชาไม่ถูกพระหฤทัย เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็จะต้องจำใจทำ และต้องทำให้ถูกพระหฤทัยด้วย ถ้ามิฉะนั้นพระองค์ก็จะใส่ร้ายให้

 

      ขอถวายพระพร แต่นี้เพราะพระอัธยาศัยมิได้เป็นเหตุให้เราหวังดีหรือเกรงกลัวอย่างนั้น การบูชาของเราจึงทำได้ถูกทาง แม้พระองค์จะดับสูญไปแล้ว เราก็อาจก่อการบูชาของเราให้โพลงขึ้นได้ เหตุว่าการบูชาของเรามีประสงค์แต่จะโยงกายวาจาใจให้น้อมนึกถึงพระองค์ และพระคุณสมบัติทั้งหลาย มาปลุกใจให้เราพยายามทำประโยชน์สุขให้แก่ตัวและผู้อื่นยิ่งๆ ขึ้น

 

      ขอถวายพระพร ก็เมื่อการบูชาของเราทำโดยมีเหตุ มีผลเช่นนี้แล้วจะจัดว่าไร้ผลได้อย่างไร”

 

      ม: “เธออุปมานี้ดีนัก”

 

จบวัชฌาวัชฌปีญหา

 

 

Share on Facebook
 
Google

WWW
http://www.thummech.com/
ฟังเพลงออนไลน์ คลิกเลย
 
Copyright © 2013-2015 Thummech All Rights Reserved. 
Powered by  ThaiWebPlus 
คนธรรมดามีความรู้คือคนฉลาด คนฉลาดมีความเข้าใจคือคนธรรมดา