2.2.2 แรงฉุดทางอากาศพลศาสตร์
เมื่อรถยนต์วิ่งมาด้วยความเร็วพอสมควร ตัวรถมันจะเจอกับแรงต้านของอากาศ ที่คอยจะต้านไม่ให้รถยนต์นั้นเคลื่อนที่ไปได้เร็วกว่านี้ แรงที่พยายามไม่ให้รถยนต์เคลื่อนที่เนื่องจากอากาศที่ต้าน เราเรียกว่า แรงฉุดทางอากาศพลศาสตร์ (Aerodynamic drag)
สาเหตุที่ทำให้เกิดแรงต้านนี้ขึ้น มีอยู่สองเหตุผลหลัก ๆ นั่นก็คือ รูปร่างของยานยนต์ที่ทำให้เกิดแรงฉุดต้านของอากาศ หรือแรงฉุดจากรูปทรงรถ (Shape drag) และอีกสาเหตุหนึ่งก็คือ คุณภาพของพื้นผิวตัวถัง หรือความเสียดทานที่พื้นผิว (Skin friction)
รูปการทดสอบอากาศพลศาสตร์ของรถยนต์ในอุโมงค์ลม
แนะนำเพื่อให้อ่านได้ต่อเนื่องให้ คลิกขวาเลือก Open link in new window
รูปแรงฉุดของอากาศที่กระทำต่อรถยนต์
แรงฉุดจากรูปทรงรถ
การเคลื่อนที่ไปข้างหน้าของรถยนต์นั้นจะมีอากาศคอยดันต้านตัวถังรถ อย่างไรก็ดี เมื่ออากาศไหลปะทะรถ มันจะต้องมีหนทางไหลไปต่อ ก่อนที่มันจะไหลผ่านรถมันจะอั้นต้านตัวถังรถไว้ ทำให้เกิดความกดดันเพิ่มขึ้นที่หน้าตัดตัวรถ ส่งผลทำให้เกิดความกดดันของอากาศที่สูง นอกจากนี้อากาศที่ด้านหลังรถไม่สามารถเติมพื้นที่ได้ทันทีจากการที่รถเคลื่อนไปข้างหน้า มันก็จะสร้างอาณาบริเวณที่เป็นความกดอากาศต่ำ
รูปอากาศพลศาสตร์ของรถแข่ง
การเคลื่อนที่ของรถยนต์คันหนึ่งจะสร้างอาณาบริเวณอยู่สองพื้นที่ของความกดอากาศที่จะต้านการเคลื่อนที่ของรถเมื่อมันเคลื่อนที่ไปข้างหน้า (ความดันอากาศที่สูงที่ด้านหน้ารถ) และพยายามดึงย้อนกลับ (ความดันอากาศต่ำที่ด้านหลังรถ) ดูในรูปด้านล่าง เป็นผลของแรงจากอากาศที่กระทำต่อรูปทรงรถยนต์
รูปแรงต้านจากการฉุดของอากาศ
รูปแรงฉุดอากาศของด้านหลังเทียบกับการใส่แพนอากาศ หรือสปอยเลอร์กับไม่ใส่
ความเสียดทานที่พื้นผิว
เมื่อยานยนต์เคลื่อนที่ อากาศที่ไหลใกล้พื้นผิวของยานยนต์ จะเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว ในขณะที่อากาศที่อยู่ห่างออกไปยังคงเคลื่อนที่ไปเรื่อย ๆ ระหว่างโมเลกุลของอากาศทั้งสองส่วนที่เคลื่อนที่ไม่เท่ากันจะเกิดความแตกต่างของความเร็วของอากาศทั้งสองบริเวณ จะทำให้สร้างความเสียดทานเกิดขึ้นที่ผิวตัวถังรถยนต์ ที่เป็นสาเหตุให้เกิดแรงฉุดทางอากาศพลศาสตร์
รูปแรงฉุดจากความเสียดทานที่พื้นผิว
แรงฉุดจากอากาศพลศาสตร์ มีองค์ประกอบที่เกิดจาก ความเสียดทานของยานยนต์ที่วิ่งด้วยความเร็ว (Vehicle speed: V), พื้นที่หน้าตัดด้านหน้าของยานยนต์ (Vehicle frontal area: Af), รูปร่างของรถยนต์สัมประสิทธิแรงฉุดของอากาศ (Coefficient of Aerodynamic Resistance) และความหนาแน่นของอากาศ (Air density: r (อ่านว่า โรห์)) แรงฉุดของอากาศพลศาสตร์สามารถเขียนเป็นสมการ ได้ดังนี้
แรงฉุดจากอากาศพลศาสตร์ = ½ ความหนาแน่นอากาศ ´ พื้นที่ด้านหน้ารถยนต์ ´ สัมประสิทธิ์แรงฉุดอากาศ ´ (ความเร็วรถ + ความเร็วลม)2
Fw = ½r AfCD(V + Vw)2 (2.8)
กำหนดให้ Fw = แรงฉุดอากาศพลศาสตร์ (N)
r = ความหนาแน่นของอากาศ (kg/m3)
Af = พื้นที่หน้าตัดด้านหน้าของยานยนต์ (m2)
CD = สัมประสิทธิ์แรงฉุดอากาศพลศาสตร์ จากรูปร่างลักษณะของยานยนต์
V = ความเร็วยานยนต์ (m/s)
Vw= ความเร็วลม (m/s)
ความเร็วของลม จะมีองค์ประกอบที่ต้องนำมาใช้พิจารณาทิศทางการเคลื่อนที่ของลม นั่นคือ ขณะรถยนต์กำลังวิ่ง และมีลมสวนพัดเข้าหารถยนต์เครื่องหมายของความเร็วลมจะเป็นบวก แต่ถ้ารถยนต์วิ่งไปในทิศทางเดียวกันกับที่ลมพัดเครื่องหมายจะเป็นลบ
สัมประสิทธิ์แรงฉุดทางอากาศพลศาสตร์ ของรูปทรงรถยนต์ที่มีรูปร่างต่าง ๆ สามารถดูได้ในตารางที่ 2.2 ด้านล่าง
ตารางที่ 2.2 สัมประสิทธิ์แรงฉุดจากรูปร่างตัวถังรถยนต์ที่มีความแตกต่างกัน
ข้อคิดดี ๆ ที่นำมาฝาก
“ระหว่างแปรงฟัน ฮัมแพลงด้วยจนจบ จะทำให้ฟันสะอาดขึ้นสองเท่า”