การพัฒนาความเข้าใจในปัจจุบันของเราเกี่ยวกับอะตอมไม่ได้เกิดขึ้นอีก จนกระทั่งปลายศตวรรษที่ 18 ไปจนถึงต้นศตวรรษที่ 20 ขั้นตอนสำคัญในการพัฒนาเหล่านี้เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2440 เมื่อ เจ เจ ทอมสัน (J.J. Thomson) ค้นพบ คอร์พัสเซิล (Corpuscles) (เป็นเม็ดอิเล็กตรอนเซลล์ที่เคลื่อนได้อิสระ[Lex2]
อนุภาค: อณู, ส่วนเล็กๆ ตามที่จอร์จ จอห์นสโตน สโตนเนย์แนะนำในปี พ.ศ. 2437)
รูปจำลองคอร์พัสเซิลของเจ เจ ทอมสัน
ที่มา : https://s3.amazonaws.com
แนะนำเพื่อให้อ่านได้ต่อเนื่องให้ คลิกขวาเลือก Open link in new window
สนใจหนังสือ และความรู้ของผู้เขียน
เรื่องอื่น ๆ มีทั้งโหลดได้ฟรี และราคาถูก นอกเหนือจากนี้
คลิก
มีหนังสือ ดวงดาว และอวกาศ (Stars & Space) 1
ทำเป็นเล่ม อีบุ๊ค เพื่อสนับสนุนเว็บไซต์
รูปหน้าปกหนังสือ
สามารถโหลดอ่านตัวอย่างก่อนซื้อได้เลยครับ ฟรี
หากผู้อ่านสนใจคลิกที่ชื่อสำนักพิมพ์
meb Se-ed
ทอมสันสามารถแสดงให้เห็นว่าอิเล็กตรอนจะต้องมีมวลไฮโดรเจนประมาณ 1 ใน 1,000 และคุณสมบัติของพวกมันเป็นอิสระจากวัสดุที่ปล่อยออกมา
ที่เวลานี้ แบบจำลองตะกั่วของอะตอมถูกเรียกว่า ลัทธินิยมคอร์พัสคิวลาร์ (Corpuscularianism: คือทฤษฎีทางฟิสิกส์ที่เชื่อว่าสสารทุกชนิดประกอบขึ้นด้วยอนุภาคขนาดเล็ก ๆ ซึ่งกลายเป็นทฤษฎีที่มีบทบาทสำคัญในคริสต์ศตวรรษที่ 17 นักวิทยาศาสตร์ผู้นิยมลัทธิคอร์พัสคิวลาร์รวมไปถึง เรอเน เดส์การ์ตส์, โรเบิร์ต บอยล์, และ จอห์น ล็อก) ทุกสิ่งที่ประกอบไปด้วยอนุภาคละเอียด (Minute particles) มีชั้นใน และชั้นนอกของอนุภาคละเอียด หรือคอร์พัสเซิล
แบบจำลองนี้ มีความแตกต่างจากแบบจำลองของอะตอม ในสะสารนั้นยังสามารถแบ่งย่อยได้ ในขณะที่อะตอมไม่สามารถแบ่งออกไปได้อีก
รูปแบบจำลองอะตอมพลัมพุดดิ้งของทอมสัน
ที่มา : https://riverglennapts.com
ทอมสันเสนอแบบจำลอง พลัมพุดดิ้ง (Plum pudding) ที่อะตอมมีประจุเป็นกลางกับคอร์พัสเซิล / อิเล็กตรอนผสมไปยังทะเลที่มีประจุบวกจำนวนมหาศาล พลัมพุดดิ้ง สอดคล้องกับการรับรู้ของมนุษย์ของเราว่า สสารมั่นคงสมบูรณ์ กล่าวคือ ไม่มีที่ว่าง ท้ายสุด ทุกคนรู้ว่า คุณไม่สามารถผ่านเข้าไปได้
ความคิดของอะตอมที่เป็นของแข็งนี้ ถูกยกเลิกหลังจากนั้นไม่นาน เนื่องจากงานของ เออร์เนสท์ รัทเธอร์ฟอร์ด (Ernest Rutherford) และลูกศิษย์ของเขาเกี่ยวกับวัสดุกัมมันตภาพรังสี
ในช่วงต้นทศวรรษ 1900 เป็นที่รู้กันว่าวัสดุกัมมันตภาพรังสีเกี่ยวข้องกับการปล่อยอนุภาคอัลฟา (Alpha particles) (ซึ่งต่อมาถูกระบุว่าเป็นนิวเคลียสของฮีเลียม) และอนุภาคเบต้า (beta particles) ต่อมาถูกระบุว่าเป็นอิเล็กตรอน
ดังนั้น หากว่าคุณมีแหล่งกำเนิดของอนุภาคพลังงาน ทำไมไม่ชี้ไปที่บางอย่าง และดูว่าเกิดอะไรขึ้น? รัทเธอร์ฟอร์ดทำการทดลองโดยการยิงอนุภาคอัลฟ่าที่แผ่นฟอยล์สีทอง
รูปการจำลองการทดลองยิงแผ่นฟอยด์ทองคำของรัทเธอร์ฟอร์ด
ที่มา : https://assets.sutori.com
พฤติกรรมที่คาดหวัง คือการกระเจิงเป็นมุมเล็ก ๆ ของอนุภาคแอลฟาทั้งหมด เมื่อพวกมันมีปฏิสัมพันธ์ปะทะกับวัสดุที่เป็นของแข็ง ทำให้เขาประหลาดใจ รัทเทอร์ฟอร์ดพบว่าอนุภาคแอลฟาเกือบทั้งหมดแทรกซึมฟอยล์ด้วยการกระเจิงเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย ยกเว้นอนุภาคแอลฟาเป็นครั้งคราวที่มีการสะท้อนกลับอย่างสมบูรณ์
การตีความเพียงอย่างเดียวสำหรับผลลัพธ์ของเขา สิ่งนั้นคือ ในความเป็นจริงพื้นที่ว่างส่วนใหญ่และจะต้องมีนิวเคลียสเชิงบวกขนาดเล็กทำให้เกิดการกระเจิงของอนุภาคอัลฟาเป็นครั้งคราว
ข้อคิดดี ๆ ที่นำมาฝาก
“ถ้าเอาแต่มอง
สิ่งที่เราขาด
แล้วเมื่อไหร่จะเห็น
สิ่งที่เรามี”
<หน้าที่แล้ว สารบัญ หน้าต่อไป>