รูปการดูรอยฟันที่กัดจากงูมีพิษ กับงูไม่มีพิษ
แนะนำเพื่อให้อ่านได้ต่อเนื่องให้ คลิกขวาเลือก Open link in new window
ก่อนที่คุณจะทำการรักษาการถูกงูกัด ตรวจสอบเบื้องต้นดูว่างูนั้นเป็น งูมีพิษ (Poisonous snake) หรืองูไม่มีพิษ (Non-poisonous snake) ดูได้จากรอยฟันจากการกัด งูที่ไม่มีพิษจะแสดงให้เห็นแถวแนวของฟัน ส่วนการกัดจากงูที่มีพิษก็อาจจะมีรอยของแถวฟัน และที่เพิ่มเข้ามาก็มีรอยเขี้ยวที่เจาะเข้าเนื้อให้เห็น
รูปเขี้ยวที่มีพิษของงูหางกระดิ่ง
รูปฟันของงูที่ไม่มีพิษ
อาการของพิษที่เกิดจากการกัด อาจพบสภาวะต่าง ๆ เช่น มีเลือดไหลออกมาเองเช่น จากจมูก และทวารหนัก, ในปัสสาวะมีสีเลือด, เกิดความเจ็บปวด และการบวมเป่งในบริเวณที่โดนกัด ซึ่งอาการอาจแสดงผลขึ้นภายในเวลาไม่กี่วินาที ไปจนถึง 2 ชั่วโมงหลังโดนกัด
รูปตัวอย่างอาการที่เกิดจากงูพิษกัด a) เกิดอาการบวมจากแผลที่ถูกกัด b) เลือดไหลออกมาเอง c) เลือดที่เป็นพิษไหลเข้าไปยังสมองซึ่งจะเป็นพิษต่อระบบประสาท d) พิษงูส่งผลให้เนื้อเยื่อถูกทำลาย
และการหายใจลำบาก, เกิดอาการอัมพาต, เกิดความอ่อนเพลีย, ชักกระตุก นอกจากนี้ ยังมีอาการชาที่ตัว และเกิดการเป็นพิษต่อระบบประสาท จะบ่งบอกอาการเหล่านี้ใช้เวลาชั่วโมงครึ่ง ถึง 2 ชั่วโมงหลังจากที่โดนกัด
ถ้ารู้แน่แล้วว่าถูกงูพิษกัดเอา ให้ปฏิบัติตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
· สร้างขวัญกำลังใจ และความมั่นใจให้แก่ผู้ที่โดนงูกัด
· เตรียมช่วยเหลือหากเกิดอาการช็อก
· พยายามบังคับของเหลว เลือดที่บริเวณโดนกัด และพิษ โดยการพันรัด ไม่ให้เข้าไปในทางหลอดเลือดดำ (Intravenous:IV)
· ถอดนาฬิกา, แหวน, กำไล หรือสิ่งของอื่น ๆ ที่รัดร่างกายอยู่ออก
· ทำความสะอาดตรงบริเวณที่โดนกัด
· เปิดทางเดินหายใจ อย่าให้หายใจติดขัด หรือไม่สามารถหายใจเองได้ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าถูกกัดในบริเวณหน้า และคอ) และเตรียมที่จะช่วยหายใจด้วย วิธีปากเป่าปาก (Mouth-to-mouth) เพื่อช่วยชีวิต หรือทำซีพีอาร์
รูปกรณีหายใจติดขัดให้ใช้วิธีปากเป่าปากเพื่อช่วยหายใจ
· ใช้ผ้า เชือก หรือสายรัด ทำการรัดในระหว่างแผลที่ถูกงูกัด กับหัวใจ
รูปหาสายเชือก หรือผ้ามารัดเหนือแผล เพื่อไม่ให้พิษงูไหลไป
· ให้คนไข้อยู่นิ่งอยู่กับที่
· เอาพิษออกให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้โดยอุปกรณ์ดูดออก หรือโดยการบีบออก
รูปการใช้อุปกรณ์ช่วยดูดพิษ
วิดีโอการใช้อุปกรณ์ช่วยดูดพิษ
เมื่อถูกงูกัด ห้ามกระทำ สิ่งต่าง ๆ ต่อไปนี้
· ห้ามให้ผู้ที่ถูกกัดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือสูบยา
รูปเหล้า และยาสูบ ห้ามดื่มเมื่อโดนงูพิษกัด
· อย่าให้มอร์ฟีน (Morphine) หรือใช้ยากล่อมประสาท เพื่อกดระบบประสาทส่วนกลาง (Central Nervous System: CNS)
รูปอย่าให้มอร์ฟีน และยากล่อมประสาท
· อย่าทำการตัดเปิดแผลให้ลึกที่บริเวณที่โดยกัด เพราะการตัดเปิดแผล อาจจะทำให้เกิดการซึมพิษ และการติดเชื้อเข้าสู่กระแสเลือดได้
· ในการดูดพิษออก ถ้ามีอุปกรณ์ในการดูด หรือถ้วยดูด (Suction cup) ควรนำมาใช้ โดยให้วางครอบรอยกัด เพื่อที่จะปิดผนึกสร้างสุญญากาศภายในพร้อมที่จะดูดพิษออก ทำการดูดซ้ำซัก 3 – 4 ครั้ง
รูปอุปกรณ์ช่วยดูดพิษ
รูปตัวอย่างอุปกรณ์ช่วยดูดพิษ
การใช้ปากดูดควรที่จะเป็นทางเลือกสุดท้าย ก็ต่อเมื่อหาอุปกรณ์ไม่ได้แล้ว และต้องแน่ใจว่าการใช้ปากดูด ปากจะต้องไม่มีแผล เมื่อดูดเสร็จก็รีบคายทิ้ง และรีบไปล้างปากด้วยน้ำสะอาดให้มาก ๆ
รูปตัวอย่างการใช้ปากดูดพิษงูออก
· ห้ามนำมือที่ผ่านการช่วยคนถูกงูกัดมาสัมผัสใบหน้า หรือนำมาขยี้ตา ถ้ายังไม่ล้างให้ดี เพราะอาจจะมีพิษติดค้างหลงเหลืออยู่ที่มือของคุณ ซึ่งพิษของงูอาจจะส่งผลให้ตาบอดได้
· รอบ ๆ รอยกัด ห้ามทำให้เกิดแผลขนาดใหญ่เหตุผลอาจเกิดการติดเชื้อเพิ่มเข้ามาได้
หลังจากที่ดูแลผู้ที่ถูกกัดดังที่กล่าวไว้แล้วในตอนต้น ให้ทำดังต่อไปนี้ เพื่อให้เกิดผลต่อร่างกายให้น้อยที่สุด
§ หากปรากฏว่าติดเชื้อ ให้เปิดบาดแผลและทำความสะอาด
§ ให้ใช้ความร้อนประคบบริเวณแผล ภายหลังผ่านไป 24 ถึง 48 ชั่วโมง เพื่อช่วยป้องกันการแพร่กระจายการติดเชื้อ อีกทั้งความร้อนยังช่วยลดการติดเชื้อได้อีกด้วย
§ ควรใช้ผ้าแห้งมาปิดแผล ซึ่งผ้าต้องผ่านความร้อนเพื่อฆ่าเชื้อโรค
§ ควรให้ผู้ถูกกัดดื่มน้ำให้มากเพื่อให้การติดเชื้อเจือจาง หรือหายไป
ข้อคิดดี ๆ ที่นำมาฝาก
“การให้อภัยคน นับเป็นกุศลที่ยิ่งใหญ่
ส่วนคนนั้นจะสำนึก หรือไม่
ก็คงต้องสุดแท้แต่ บุญกรรมที่ทำมา”