บทที่ ๗ การดำเนินกลยุทธ
“อันหลักการทำศึก ศิลปะในการดำเนินกลยุทธนั้นยากที่สุด คือต้องชิงความได้เปรียบ
ความยากลำบากอยู่ที่ทำเรื่องยุ่งยากให้เป็นเรื่องง่าย ทำทางคดเคี้ยวให้เป็นทางตรง ทำโชคร้ายให้โชคดี แปรความเสียเปรียบต่าง ๆ ให้เป็นความได้เปรียบ
หากแสร้งเดินทางอ้อม และใช้ผลประโยชน์เล็กน้อยเข้าล่อข้าศึกได้ ก็จะถึงที่หมายได้เร็วกว่าข้าศึก ทั้งที่ออกเดินทางทีหลัง นี้คือรู้จักแปรทางอ้อมให้เป็นทางตรง”
ในการดำเนินกลยุทธจึงมีทั้งข้อได้เปรียบ และข้อเสียเปรียบ กองทัพที่เคลื่อนทัพ เพื่อหาความได้เปรียบ จะไม่มีวันได้รับความได้เปรียบ ถ้ากองทัพทิ้งค่ายเพื่อจะหาความได้เปรียบ สัมภาระก็จะเกิดความเสียหายเนื่องจากต้องทิ้งสัมภาระต่าง ๆ ไว้ สิ่งที่ตามมาก็คือ กองทัพจะสูญเสียยุทโธปกรณ์หนัก เสบียงอาหาร ก็จะไม่มีไปด้วย กองทัพที่ไม่มีสัมภาระเหล่านี้ก็ไม่อาจอยู่รอดได้
ผู้ที่ไม่รู้จักสภาพภูมิประเทศ เช่น สภาพในเมือง สภาพป่าเขา หุบเหว ที่ลุ่มดอน ห้วยหนองคลองบึง จะไม่สามารถนำกองทัพให้เดินต่อไป เพราะจะเกิดอันตราย เกิดการสูญเสียได้
จงทำความรู้จัก และตีสนิทกับชนพื้นเมืองที่เดินทัพไปถึง และให้ชนพื้นเมืองเป็นคนนำทาง จะได้เปรียบในเรื่องสภาพภูมิประเทศ
การทำสงครามให้เกิดชัยชนะได้นั้น ก็ต้องอาศัยด้วยเล่ห์กลอุบาย คือให้พิจารณาถึงกองทัพว่าขณะนั้นมีความได้เปรียบหรือไม่ แล้วจึงค่อยกระทำการเปลี่ยนแปลง
ยุทธวิธีการรบด้วยการกระจายทัพ หรือรวมกำลังพล ต้องคิดให้รอบคอบ คิดถึงผลได้ผลเสียให้ถ่องแท้เสียก่อน แล้วค่อยปฏิบัติการ
ในการเดินทัพจะต้องรวดเร็วดุจลมพัด
สามารถหยุดทัพได้สงบนิ่งเหมือนไม้ในพงไพร
เวลาเข้าตี ต้องฮือโหมดุจไฟลาม
คราวตั้งรับ ต้องมั่นคงดุจดั่งขุนเขา
ถ้าหลบซ่อนต้องกำบังกายได้ดั่งเมฆบังพระจันทร์
และเผด็จศึกได้ไวดั่งสายฟ้าฟาด
เมื่อทำการยึดเมืองได้สำเร็จ ควรแบ่งสินสงคราม ปูนบำเหน็จให้แก่ทหารหาญทั้งหลาย เมื่อยึดขยายดินแดนต้องแบ่งปันให้แก่แม่ทัพนายกอง นี่คือหลักการดำเนินกลยุทธ
การสื่อสารกันเป็นสิ่งสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ในการทำศึกสงครามการติดต่อกันระหว่างภายในกองทัพ กับกำลังทหารที่ปฏิบัติการ หรือการสื่อสารกันเองต้องแน่นอนชัดเจน มีสัญลักษณ์ ภาษาต่าง ๆ เป็นที่ทราบกันภายในกองทัพที่ทำการรบ ต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เมื่อทหารทั้งกองทัพเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ทำอะไรก็จะช่วยกัน
ในการที่จะทำลายข้าศึก ขวัญและกำลังใจของข้าศึกเป็นสิ่งแรกที่ต้องคำนึง และต้องสั่นคลอนการตัดสินใจของแม่ทัพฝ่ายข้าศึก
กองทัพข้าศึกเมื่อแรกรบนั้น จะมีขวัญกำลังใจดีเยี่ยม แต่พอผ่านไประยะเวลาหนึ่งขวัญ และกำลังใจก็จะเริ่มย่อหย่อน ถดถอยลงเรื่อย ๆ และสุดท้ายก็จะไม่มีขวัญสู้รบเหลืออยู่
ผู้ที่ชำนาญการสงคราม ต้องหลีกเลี่ยงข้าศึกตอนที่มีขวัญ และกำลังใจดี ให้รอจนกว่าขวัญของข้าศึกจะตกต่ำ และหมดไป จึงทำการเข้าตี นี้คือยุทธวิธีควบคุมขวัญทหาร
เราจะใช้ทหารที่มีระเบียบวินัยโจมตีข้าศึกที่แตกแยกสับสนอลหม่าน
เราจะใช้ทหารที่สุขุมเยือกเย็นไปโจมตีข้าศึกที่บุ่มบ่ามวู่วาม
เราจะใช้สมรภูมิใกล้ รับมือข้าศึกที่เดินทางมาไกล
เราจะใช้ทหารที่พักผ่อนอย่างเต็มที่ ไปรับมือกับทหารที่เหนื่อยล้าอิดโรย
เราจะใช้ทหารที่กินอิ่ม ไปโจมตีทหารที่กำลังหิวโหย
เราจะไม่เข้าตีข้าศึกที่ตั้งขบวนทัพ และปักธงทิว ไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
เราจะไม่โจมตีข้าศึกที่ตั้งค่ายอย่างแน่นหนาดูแล้วน่าเกรงขาม
หลักการเข้ารบคือ
เราจะไม่โจมตีข้าศึกที่อยู่บนที่สูงกว่า
เราจะไม่โจมตีข้าศึกที่หันหลังอิงเนินเขา
เราจะไม่ไล่ตามตีข้าศึกที่แกล้งทำเป็นแพ้ล่าถอย
เราจะไม่โจมตีกำลังที่เข้มแข็งของข้าศึก
เราจะไม่ใส่ใจกองกำลังที่ข้าศึกออกมายั่ว
เราจะไม่สกัดข้าศึกที่กำลังถอนกลับประเทศของตน
การล้อมข้าศึกต้องเปิดช่องว่างไว้ ถ้าข้าศึกถึงคราวจนตรอก อย่ารุกบีบกระชั้นจนเกินไป