บทความ
 เคมี (Chemistry)
 สู่อิสรภาพทางการเงิน (To Financial Freedom)
 การคำนวณ และออกแบบ (Calculation and design)
 เทคโนโลยีการเกษตร (Agricultural Technology)
 เครื่องมือกล (Machine tools)
 Laws of Nature
 อวกาศ
 พลังงาน
 อิเล็กทรอนิกส์
 ทฤษฏีสัมพัทธภาพ
 ไครโอเจนิกส์
 เฮลิคอปเตอร์
 เกียร์อัตโนมัติ
 โทรศัพท์มือถือ
 ยาง
 รถไฟความเร็วสูง
 คลัตช์ และกระปุกเกียร์ธรรมดา
 เจ็ทแพ็ค
 แผ่นดินไหว
 คู่มือ ต้องรอด
 โรงไฟฟ้าพลังน้ำ
 ดาวเทียม
 เชื่อมโลหะใต้น้ำ
 กังหันลมผลิตไฟฟ้า
 เครื่องยนต์ดีเซล
 เครื่องยนต์เบนซิน
 คัมภีร์สงครามซุนวู ฉบับเข้าใจง่าย
 โลหะ
 ฟิสิกส์
 ปัญหาพระยามิลินท์
 ยานยนต์สมัยใหม่
 แมคาทรอนิกส์
 เครื่องกล 6 แกน
 เครื่องยนต์เจ็ท
 หุ่นยนต์
 สินค้า ผลงาน
 เขียนแบบ
 ออกแบบ คำนวณ
 วางโครงการ
 งานโลหะ
 อุปกรณ์
 เครื่องกล
วันนี้ 1,295
เมื่อวาน 2,664
สัปดาห์นี้ 5,657
สัปดาห์ก่อน 18,479
เดือนนี้ 5,657
เดือนก่อน 62,658
ทั้งหมด 4,412,812
  Your IP :13.58.121.131

30 คุณสมบัติอื่น ๆ ของวัสดุ (จบบทที่ 4)

 

4.7 คุณสมบัติอื่น ๆ

 

4.7.1 น้ำหนัก และความหนาแน่น

 

น้ำหนัก (Weight) คือ ผลคูณระหว่างมวลของวัตถุ (m: kg) กับ ความเร่งเนื่องจากแรงโน้มถ่วง (g: kg/m2) (ค่า g จะเปลี่ยนไปตามดวงดาวซึ่งจะมีแรงดึงดูดไม่เท่ากัน เช่น ค่า g ของโลกเฉลี่ยก็คือ 9.81 m/s2 ส่วนดาวดวงอื่น เช่น ดวงจันทร์ = 0.165g, ดาวอังคาร = 0.377g, ดาวพฤหัส = 2.364g เป็นต้น) เขียนเป็นสมการได้ดังนี้

 

                        W = mg                         (4.14)

 

หน่วยที่ใช้กับน้ำหนักก็คือ นิวตัน (Newton: N) น้ำหนักเป็นคุณสมบัติหนึ่งที่สำคัญของวัสดุ ในงานด้านโลหะจะนำคุณสมบัติด้านนี้มาใช้ประโยชน์ได้มากมายในการเลือกใช้วัสดุให้เหมาะกับงาน เช่น นำอลูมิเนียมมาเป็นส่วนประกอบของเครื่องบินเพื่อลดน้ำหนัก, นำแมกนีเซียมมาทำล้อแม็กในรถยนต์เพื่อให้ล้อมีน้ำหนักเบา และมีความแข็งแกร่ง, นำเหล็กหล่อมาทำฐานเครื่องจักรก็เพื่อความแข็งแรง และราคาไม่แพง ฯลฯ

 

รูปอากาศยานที่มีอลูมิเนียมผสมเป็นส่วนประกอบโครงสร้างเพื่อให้อากาศยานมีน้ำหนักเบา

แนะนำเพื่อให้อ่านได้ต่อเนื่องให้ คลิกขวาเลือก Open link in new window

 

รูปล้อรถยนต์ทำจากแมกนีเซียมผสมเพื่อทำให้ล้อมีน้ำหนักเบา

 

ส่วนอัตราส่วนของมวล หรือน้ำหนักต่อปริมาตรของวัสดุเราเรียกว่า ความหนาแน่น (Density: m/V) หรือ น้ำหนักจำเพาะ (Specific weight: W/V) คำสองคำนี้แตกต่างกันตรงที่การนำไปใช้งาน

 

- น้ำหนักจำเพาะนั้นมักจะนำไปใช้ในงานทางวิชาการหน่วยที่ใช้ก็คือ นิวตันต่อลูกบาศก์เมตร (N/m3) หรือ ปอนด์ต่อลูกบาศก์ฟุต (lb/ft3)

 

- แต่ความหนาแน่นจะนำมาใช้ในทางปฏิบัติ หน่วยที่ใช้ก็คือ กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (kg/m3) หรือ ปอนด์มวลต่อลูกบาศก์ฟุต (lbm/ft3)

 

โดยทั้งสองมีความหมายเหมือนกัน

 

ตารางในรูป 4.8 แสดงความหนาแน่นในวัสดุชนิดต่างกัน

วัสดุ

ความหนาแน่น

(kg/m3)

เงิน

10,490

ดีบุก

7,310

ตะกั่ว

11,340

ทองคำ

19,300

ทองคำขาว

21,450

ทองแดง

8,960

ทังสเตน

19,250

ไทเทเนียม

4,507

แพลเลเดียม (Palladium)

12,023

แมกนีเซียม

1,740

ยูเรเนียม

19,050

เหล็ก

7,870

อลูมิเนียม

2,700

ออสเมียม

22,610

อิริเดียม

22,650

ตารางที่ 4.8 เปรียบเทียบความหนาแน่นวัสดุหลายชนิด

 

4.7.2 ความสึกหรอ

 

ความสึกหรอ (Wear) เป็นคุณสมบัติที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นกับวัสดุเลย เพราะเมื่อวัสดุมันเกิดการสึกหรอขึ้นจะมีผลต่อการทำงานของชิ้นส่วนนั้น และปัญหาอาจจะลุกลามไปเป็นปัญหาใหญ่ได้ เพียงแค่มีการสึกหรอของวัสดุในขณะทำงานแม้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นก็อาจทำให้เครื่องจักรกลเกิดความผิดพลาด หรือเสียหายได้

 

ความสึกหรอเป็นความสามารถต้านทานของโลหะ ต่อการที่โลหะกำลังเสื่อมลงอย่างช้า ๆ ปกติแล้วต้องใช้เวลาที่นานมาก การเสื่อมสภาพของวัสดุอาจสืบเนื่องมาจาก การเสียดสี, การเสียดทาน, การถูกัน, การเกิดรอยที่ชิ้นงาน, การขัด, การครูดกัน หรือจากการจับยึด นอกจากนี้แล้ว ยังมีสาเหตุอันเนื่องมาจากการกัดกร่อนแบบการเป็นหลุมก็ได้

 

ประเภทความสึกหรอ

 

  • การสึกหรอแบบปกติ (Normal wear) เกิดจากการเสียดสีของวัสดุที่มีเนื้อละเอียดสองชิ้นเสียดสีกันจนเกิดความสึกหรอ นี้ถือว่าเป็นการสึกหรือตามอายุการใช้งาน

 

รูปการสึกหรอปกติของแบริ่งเพลาข้อเหวี่ยง

 

  • การสึกหรอแบบการขัดถู (Abrasive wear) เกิดจากวัสดุถูกขีดข่วนด้วยวัสดุที่มีความหยาบกว่าขัดถูกับวัสดุที่มีความละเอียดจนเกิดรอยเล็ก ๆ

 

รูปการสึกหรอแบบขัดถู

 

  • การสึกหรอแบบเป็นแผล (Adhesive Wear) เกิดจากรอยบาก (Scoring), ขัดหยาบ (Galling), การขูดขีด (Scuffing), การยึดติด (Seizing) ของวัสดุจนเนื้อวัสดุบางส่วนที่สึกหรอหายไปจนเป็นแผลขนาดใหญ่

 

รูปการสึกหรอแบบเป็นแผล

 

  • การสึกหรอแบบเป็นหลุม (Pitting wear) เป็นการสึกหรอของวัสดุที่เกิดจากการเสียดสีจนเกิดเป็นหลุม เกิดจากการเสียดสีของวัสดุจนวัสดุร่อนออกจนเป็นหลุมกว้าง

 

รูปการสึกหรอแบบเป็นหลุมของฟันเฟือง

 

  • การสึกหรอแบบสึกกร่อน (Fretting wear) เกิดจากการถูกันซ้ำ ๆ ระหว่างพื้นผิววัสดุทั้งสองจนเกิดการสึกหรอขึ้นมา

 

รูปการสึกหรอแบบสึกกร่อนของสลักเกลียว

 

วิดีโอทดสอบการสึกหรอของใบพัดปั๊มน้ำ

 

วัสดุที่ต้านทานต่อการสึกหรอได้สูงจะขึ้นอยู่กับ ค่าความแข็งของวัสดุนั้น วัสดุที่แข็งจะทนทานต่อการสึกหรอมาก นอกจากนี้ การหล่อลื่น (Lubricant) ก็ช่วยให้วัสดุเกิดการสึกหรอลดน้อยลง รูปด้านล่างแสดงถึงการหล่อลื่นวัสดุที่เหมาะสม และที่ไม่เหมาะสมที่ทำกับวัสดุ

 

รูปการใช้น้ำมันหล่อลื่นเพื่อลดการสึกหรอของตลับลูกปืน

 

รูปการหล่อลื่นที่ไม่เหมาะสมสาเหตุอาจมาจากความสกปรกของน้ำมันหล่อลื่นจนทำให้ตลับลูกปืนเพลาล้อติด

 

4.7.3 ความสามารถในการกลึงไส

 

วัสดุแต่ละชนิดสามารถนำไปตัดเฉือนได้ ซึ่งเป็นคุณสมบัติเฉพาะตัวของโลหะ เราเรียกคุณสมบัติเช่นนี้ว่า ความสามารถในการกลึงไส (Machinability)

 

      คุณสมบัตินี้ กล่าวถึงการแปรรูปวัสดุให้มีรูปร่างต่าง ๆ ตามที่ต้องการ การตัดเฉือนวัสดุสามารถทำได้ด้วย การกลึง (Turning), การกัด (Milling), การไส (Planning or shaping), การเจาะ (Drilling), การเจาะคว้าน (Boring) และเครื่องมือกลประเภทอื่น ๆ

 

รูปงานกลึง

 

รูปงานกัด

 

วิดีโอความสามารถด้านการกลึงไสของวัสดุ

 

วัสดุโลหะแต่ละชนิด มีความสามารถในการกลึงไสไม่เท่ากัน ยกตัวอย่างเช่น อลูมิเนียม และแมกนีเซียม มีความอ่อน และความยืดหยุ่นสูงทำให้มีความสามารถในการกลึงไสด้วยเครื่องมือกลได้อย่างง่าย ๆ

 

ซึ่งตรงข้ามกับเหล็กกล้าผสม และเหล็กกล้าแข็ง มีความแข็ง และตัดเฉือนยากทำให้การกลึงไสด้วยเครื่องมือกลนั้นทำได้ยากกว่า

 

4.7.4 ความสามารถในการเชื่อม

 

รูปการเชื่อมของโลหะ

 

ความสามารถในการเชื่อม (Weldability) เป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของวัสดุโดยเฉพาะอย่างยิ่งวัสดุที่เป็นโลหะ วัตถุประสงค์ของการเชื่อมก็เพื่อให้ชิ้นส่วนวัสดุชนิดเดียวกัน สองชิ้นเกิดการหลอมติดกัน

 

      การเชื่อมวัสดุโลหะในปัจจุบันนั้นมีหลายประเภท ยกตัวอย่างเช่น การเชื่อมอาร์ค (Arc welding), การเชื่อมมิก (MIG welding), การเชื่อมติ๊ก (TIG welding) และการเชื่อมแก๊ส (Gas welding) ฯลฯ

 

รูปการเชื่อมอาร์ค

 

รูปการเชื่อมมิก

 

รูปการเชื่อมติ๊ก

 

รูปการเชื่อมแก๊ส

 

วิดีโอความสามารถของวัสดุในด้านการเชื่อมโลหะ

 

4.8 ตารางการเปรียบเทียบคุณสมบัติต่าง ๆ ของวัสดุ

 

เป็นการเปรียบเทียบที่น่าสนใจในคุณสมบัติที่ต่างกันของโลหะ ตารางที่ 4.9 เปรียบเทียบคุณสมบัติของเหล็กกล้า, เหล็กหล่อ, เหล็กบริสุทธิ์ (เหล็กดัด) (Wrought iron), อลูมิเนียม, ทองแดง, สังกะสี, ตะกั่ว, นิกเกิล, ดีบุก, ไทเทเนียม, ทังสเตน และอื่น ๆ ดังนี้

 

วัสดุโลหะ

ความถ่วงจำเพาะ

ค่ายังโมดูลัส

(E)

ค่าโมดูลัสเฉือน

 (G)

โมดูลัสความจุ (Bulk modulus)

อัตราส่วนปัวซอง

การนำความร้อนที่
(0
°C)

สัมประสิทธิ์การขยายตัวเชิงเส้น

จุดหลอมเหลว

ความเค้นพิสูจน์/ครากตัว

ความเค้นสูงสุด

ความต้านทานไฟฟ้าที่
(20
°C)

 

 

GPa

GPa

GPa

 

W / (m .K)

x10-6/ °C

K

x 107Pa

x 107Pa

x10-8 W

แคดเมียม(Cadmium)

8.65

55.16

 

 

 

92

30

594

 

 

7.4

โคบอลต์(Cobalt)

8.9

206.8

 

 

 

69

12

1,768

 

 

9

โครเมียม(Chromium)

7.2

248.2

 

 

 

91

6

2,133

 

 

13

เงิน (Silver)

10.50

72.39

28.0

100

0.37

427

19

1,234

5.5-30

14-38

1.59

ซิลิกอน (Silicon)

2.33

110.3

 

 

 

83.5

3

1,684

 

 

100,000

เซลิเนียม (Selenium)

4.8

57.92

 

 

 

0.5

37

490

 

 

12.0

โซเดียม (Sodium)

0.97

 

 

 

 

134

70

370.98

 

 

4.2

ดีบุก (Tin)

7.31

41.37

17.

52

0.33

67

20

505

0.9-1.4

1.5-20

11.0

ตะกั่ว (Lead)

11.35

13.79

6

 

0.43

35.2

29

600.7

 

1.5-1.8

20.6

ทองคำ (Gold)

19.32

74.46

28.0

167

0.42

315

14.2

1,336

0-21

11-23

2.35

ทองคำขาว(Platinum)

21.45

146.9

61.0

240

0.39

73

9

2,043

1.5-18

12.5 -20

10.5

ทองแดง(Copper)

8.96

117.2

46

130

0.36

398.0

16.6

1,357

4,7-32

20-35

1,673

ทอเรียม(Thorium)

11,7

58,61

 

 

0.27

41

12

2,023

 

 

18

ทังสเตน(Tungsten)

19.3

344.7

140

 

0.28

178

4.5

3,673

 

100-400

5.65

แทนทาลัม (Tantalum)

16.6

186.2

 

 

0.35

57.5

6.5

3,253

 

34-93

12.4

ไทเทเนียม(Titanium)

4.54

110.3

41.0

110

0.3

22

8.5

1,943

2-50

25-70

43

นิกเกิล (Nickel)

8.9

213.7

79.0

176

0.31

90.5

13

1,726

14-66

48-73

6.85

ไนโอเบียม (Niobium)

8.57

103.4

 

 

 

53

7

2,740

 

 

13

บิสมัท(Bismuth)

9.75

31.72

 

 

0.33

8.4

13

544

 

 

115

เบริลเลียม(Beryllium)

1.85

289.6

 

 

0.027

218.0

12

1,558

 

 

4.0

ปรอท (Mercury)

13.546

 

 

 

 

8.39

 

234.29

 

 

98.4

พลวง(Antimony)

6.69

77.91

 

 

 

18.5

9

903

 

 

41.8

พลูโตเนียม(Plutonium)

19.84

96.53

 

 

0.18

8

54

913

 

 

141.4

โพแทสเซียม(Potassium)

0.86

 

 

 

0.39

99

83

336.5

 

 

7.01

แมกนีเซียม(Magnesium)

1.74

44.13

 

 

0.35

156

25

923

 

 

4.45

แมงกานีส(Manganese)

7.34

158.6

 

 

 

 

22

1,517

 

 

185

โมลิบดีนัม(Molybdenum)

10.22

275.8

 

 

0.32

138

5

2,893

 

 

5.2

ยูเรเนียม(Uranium)

18.8

165.5

 

 

0.21

25

13.4

1,405

 

 

30

โรเดียม(Rhodium)

12.41

289.6

 

 

 

150

8

2,238

 

 

4.6

วาเนเดียม(Vanadium)

6.1

131.0

 

 

 

60

8

2,173

 

 

25

สังกะสี(Zinc)

7.0

82.74

36.0

100

0.35

121

35

692.7

 

11-20

5.92

เหล็ก (Iron)

7.87

196.5

76

 

0.3

80.3

12

1,809

16

35

9.7

 เหล็กกล้า เนื้ออ่อน(Steel (Mild))

7.8

210

80

 

0.3

50

12

1,630-1,750

20-40

30-50

10

อลูมิเนียม(Aluminum)

2.7

68.95

26

75.0

0.33

237

25

933

3-14

6-14

2.655

ออสเมียม(Osmium)

22.57

551.6

 

 

 

61

5

3,298

 

 

9

อิริเดียม(Iridium)

22.42

517.1

 

 

 

147

6

2,723

 

 

5.3

 

ตารางที่ 4.9 เปรียบเทียบคุณสมบัติต่าง ๆ ของวัสดุที่เป็นโลหะ

 

จบบทที่ 4 คุณสมบัติวัสดุ

 

ข้อคิดดี ๆ ที่นำมาฝาก

 

“คุณลงมือทำในสิ่งที่คุณสนใจ

 

อย่างน้อยก็จะมีคนคนหนึ่งล่ะที่พอใจ”

Share on Facebook
 
Google

WWW
http://www.thummech.com/
ฟังเพลงออนไลน์ คลิกเลย
 
Copyright © 2013-2015 Thummech All Rights Reserved. 
Powered by  ThaiWebPlus 
คนธรรมดามีความรู้คือคนฉลาด คนฉลาดมีความเข้าใจคือคนธรรมดา