ปัญหาที่ ๖ สุนัขจิ้งจอก
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า “ดูก่อนพระนาคเสน ผู้ปฏิบัติต้องถือองค์ ๒ แห่งสุนัขจิ้งจอกนั้น เป็นไฉน”
รูปสุนัขจิ้งจอก
พระนาคเสนทูลตอบว่า “ขอถวายพระพร ธรรมดาสุนัขจิ้งจอกเมื่อได้อาหารแล้วจะไม่เกลียดชัง มันกินจนพอต้องการ และไม่เลือกว่าจะชั่ว หรือดีอย่างไร
ฉันใด ผู้ปฏิบัติก็ต้องเป็นฉันนั้นเหมือนกัน คือเมื่อได้โภชนาหารแล้วก็มิได้รังเกียจ และบริโภคพอดำรงชีวิตให้เป็นไป
ดังนัยภาษิตที่พระมหากัสสปเถรได้กล่าวไว้ว่า
ข้าพเจ้าลงจากเสนาสนะแล้วเข้าบ้าน เพื่อฉันอาหารบิณฑบาต
ขณะเมื่อบริโภคอยู่ มีบุรุษโรคเรื้อนนำคำข้าวเข้ามาถวายข้าพเจ้า
เผอิญขณะนั้นนิ้วมือของเขาขาดตกลงไปเปื้อนคำข้าว แต่ข้าพเจ้าพิจารณาคำข้าวนั้นแล้วก็ฉันได้ ขณะฉันอยู่ก็ดี ฉันแล้วก็ดี ข้าพเจ้าไม่มีความเกลียดชังเลย
อนึ่งอาหารที่บริโภคอยู่นั้น จะดีหรือเลวอย่างไรก็ไม่ทำความรู้สึกให้บริโภคตามมีตามได้ ดุจคำในเถรคาถาว่า เรายินดีด้วยของมีอยู่ ไม่ปรารถนารสอื่น เมื่อเราไม่ละโมบในรส ใจของเราก็ย่อมยินดีในฌาน เมื่อทำได้เช่นนี้ สมณคุณของเราก็ย่อมเต็มรอบ”
พระเจ้ามิลินท์ตรัสว่า “เธอฉลาดว่า”
ปัญหาที่ ๗ เนื้อ
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า “ดูก่อนพระนาคเสน ผู้ปฏิบัติต้องถือองค์ ๓ แห่งเนื้อนั้น เป็นไฉน”
พระนาคเสนทูลตอบว่า “ขอถวายพระพร นิสัยเนื้อ
๑. เวลากลางวันย่อมเที่ยวไปในป่า แต่ถึงเวลากลางคืนย่อมเที่ยวไปในกลางแจ้ง
๒. เมื่อหอกหรือลูกศรตกลงย่อมวิ่งหนี
๓. เห็นคนเข้าก็วิ่งหนีไปทางใดทางหนึ่ง
ขอถวายพระพร ผู้ปฏิบัติต้องทรงคุณสมบัติเช่นเดียวกันกับเนื้อนี้แล คือ
๑. เวลากลางวันพึงอยู่ในป่า ถึงเวลากลางคืนจึงอยู่ในที่แจ้ง ดุจ
พุทธภาษิตว่า ดูก่อนสารีบุตร ฤดูหนาว เวลากลางคืนน้ำค้างตกมาก แม้เช่นนั้นตอนกลางคืนเราก็อยู่ในที่แจ้ง กลางวันอยู่ในป่า ถึงเดือนท้ายฤดูร้อนกลางวันเราอยู่ในที่แจ้ง กลางคืนอยู่ในป่า
๒. เมื่อกิเลสเข้ามาใกล้ก็ไม่น้อมจิตเข้าไปหา
๓. เห็นหมู่ชนหมกมุ่นกันอยู่ก็เลี่ยงไปเสียทางอื่น
ดังภาษิตที่พระสารีบุตรกล่าวไว้ใจความว่า
ขอเราอย่าได้พบคนที่มีความปรารถนาลามก เกียจคร้าน ประพฤติไม่สมควรเลย”
พระเจ้ามิลินท์ตรัสว่า “ชอบแล้ว”
<หน้าที่แล้ว สารบัญ หน้าต่อไป>