ปัญหาที่ ๖ ไม่ให้อาลัยที่อยู่ (อนิเกตานาลยกรณปัญหา)
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า “ดูก่อนพระนาคเสน พระพุทธเจ้าตรัสห้ามมิให้พระภิกษุผูกใจในที่อยู่ มิใช่หรือ”
พระนาคเสนทูลตอบว่า “ขอถวายพระพร เป็นดังพระองค์ตรัสนั้นแล”
ม: “ก็ถ้าอย่างนั้น เหตุไรจึงทรงอนุญาตให้ทายก สามารถสร้างวิหารถวายพระภิกษุ ผู้เป็นพหูสูตได้เล่า”
น: “ขอถวายพระพร การที่พระพุทธองค์ตรัสห้ามมิให้พระภิกษุผูกใจในที่อยู่นั้น ก็ด้วยทรงเห็นว่าไม่เป็นการสมควรแก่สมณะ ผู้มีปฏิปทา (ทางดำเนิน,ความประพฤติ,วิถีปฏิบัติ: Mode of practices ) อันสงบระงับ
เพราะว่าเมื่อไม่เอาที่อยู่มาผูกใจให้เกิดความพัวพันขึ้นแล้ว ใจก็จะเป็นธรรมชาติควรแก่การงานตามหน้าที่ของตนจะได้ไม่กังวลในที่ใช่ฐานะ
รูปเปรียบดุจสิงโต
ดุจราชสีห์เมื่อเที่ยวไปในป่าย่อมไม่มีความอาลัยในที่อยู่ จนใครสังเกตที่อยู่ไม่ได้ฉันใด พระภิกษุซึ่งมีหน้าที่ทำลายบาปอกุศลก็ต้องมีปฏิปทา ฉันนั้นเหมือนกัน
เพราะเมื่อทำใจไม่ให้เกี่ยวเกาะอยู่ในที่อยู่ได้แล้ว ก็เป็น
เหตุเป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่จะตัดความกังวลเสียได้ ซึ่งเป็นโอกาสที่จะให้กระทำความดีได้สะดวก
ส่วนการที่พระองค์ทรงอนุญาตให้ ทายกสร้างที่อยู่ถวายแก่พระภิกษุผู้พหูสูตนั้น ก็ด้วยพิจารณาเห็นอำนาจประโยชน์ ๒
ประการ คือ
ประการแรก การสร้างวิหารถวายพระภิกษุ พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ทรงสรรเสริญตรัสชมไว้ว่าเป็นปัจจัยอันหนึ่ง ซึ่งทำให้พ้นจากความเกิด ความแก่ ความตายได้
อีกประการหนึ่ง พระภิกษุ และนางภิกษุนีจักได้มีที่อยู่
เป็นหลักแหล่ง ถึงคราวผู้มีศรัทธาจะทำบุญให้ทานก็ย่อมทำได้โดยสะดวก”
ม: “ฟังได้”
จบอนิเกตานาลยกรณปัญหา
ปัญหาที่ ๗ พระพุทธเจ้า กินอาหารมากน้อยแค่ไหน (อุทรสังยมปัญหา)
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า “ดูก่อนพระนาคเสน พระพุทธเจ้าตรัสสอนเขาว่า
‘พึงเป็นผู้สำรวมท้อง’
ฉะนี้ แต่เหตุไฉนพระองค์เองจึงตรัสว่า
‘บางคราวเราบริโภคเสมอขอบบาตรบ้าง บางคราวก็ยิ่งกว่า’
(คำนี้พระพุทธเจ้าตรัสกะสกุลุทายิปริพพาชก (มหาสกุลุทายิสูตรมัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก)
(ซึ่งสมเด็จ พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้ทรงแปลจากพระสูตรนั้นไว้ว่า "อุทายิ บางคราวเราฉันเต็มขอบบาตรนี้ก็มี ยิ่งกว่าก็มี หากว่าพวกสาวกของเราจะสักการะเคารพนับถือบูชาเราแล้วอยู่พึ่งเรา ด้วยเข้าใจว่าเรามีอาหารน้อย และสรรเสริญความเป็นผู้มีอาหารน้อย สาวกของเราผู้มีอาหารน้อยเพียงเท่าโกสะ (บรรจุในผลกระเบา?) หนึ่งก็มี เพียงเท่าเวฬุวะ (บรรจุในผลมะตูม?) หนึ่งก็มี เพียงกึ่งนั้นก็มี ที่ไหนเธอจะสักการะเคารพนับถือบูชาเราแล้วอยู่พึ่งเราเล่า"
และทรงสันนิษฐานไว้ว่า "แม้ในที่อื่นก็กล่าวว่า พระศาสดาเสวยพระอาหารน้อย พระอาหารเต็มขอบบาตรที่ว่าเสวยหมด นั้นคงไม่เท่าไรนั้น"
แต่ตามสำนวนที่ท่านแก้ไว้ในมิลินทปัญหานี้ ดูเป็นที่ว่าพระพุทธเจ้าเสวยพระอาหารมาก โดยมิได้ทรงคำนึงถึงความพอเหมาะและทั้งที่ทรงนำมาตรัสสอนเขาเลย ทั้งนี้น่าจะเป็นเพราะท่านเข้าใจขนาดบาตรใหญ่กว่าความจริง ท่านจึงแก้เหตุเลยไปว่า พระพุทธเจ้าเสร็จกิจไม่ต้องทรงกระทำต่อไปอีกแล้วจะเสวยสักเท่าไรก็ได้
แท้จริงไม่ปรากฏว่า พระพุทธเจ้าทรงกระทำสิ่งที่พระองค์ทรงห้ามมิให้ผู้อื่นกระทำ เพราะว่าพระองค์มีพระชาติเป็นกษัตริย์ และมีพระนิสัยเป็นศาสดาผู้สอนเขาด้วย
เรื่องเช่นนี้ ท่านผู้แต่งปกรณ์ชั้นหลัง ๆ ทำเป็นกาฝากจับไว้ในคัมภีร์พระพุทธศาสนามากแห่ง เช่น เรื่องยมกปาฏิหาริย์ เป็นต้น การที่เป็นดั่งนี้ก็เพราะว่า ท่านเหล่านั้น มีสติสัมปชัญญะไม่พอบ้าง ต้องการจะส่งเสริมพุทธาภินิหารให้สมกับใจ
ที่ท่านเคารพนับถือบ้างและถูกกาลเทศะจูงให้เป็นไปบ้าง
ความเป็นมาแห่งคัมภีร์พระพุทธศาสนามีอยู่เช่นนี้ จึงปรากฏเรื่องที่
เชื่อไม่สนิทหรือเชื่อไม่ได้อยู่มากเรื่อง) ดังนี้เล่า”
พระนาคเสนทูลตอบว่า “ขอถวายพระพร ผลร้ายของการไม่สำรวมท้อง ก็มีเช่น ให้ฆ่าสัตว์บ้าง ให้ลักขโมยของเขาบ้าง ให้ประพฤติผิดในกามบ้าง ให้กล่าวเท็จบ้าง ให้ดื่มน้ำเมาบ้าง และให้กระทำความผิดอื่น ๆ บ้าง
เพราะเหตุนี้ พระองค์จึงตรัสสอนให้เป็นผู้สำรวมท้องจะได้ป้องกันความชั่วทั้งหลายเสีย ส่วนพระองค์เองเสวยเสมอขอบบาตร บางคราวก็ยิ่งกว่านั้นก็เพราะว่า พระองค์มีพระธุระได้ทรงกระทำเสร็จสิ้นแล้ว กิเลสมิได้กลับกำเริบในพระหฤทัยอีก”
ม: “เธอจงหาตัวอย่างมาเปรียบให้ฟัง”
น: “เหมือนคนเจ็บ หมอย่อมห้ามมิให้บริโภคของแสลง เพื่อมิให้โรคกำเริบ แต่ครั้นหายแล้ว หมอก็อนุญาตให้บริโภคได้ทุกอย่างตามความปรารถนา
ฉันใด แม้พระพุทธเจ้าก็ฉันนั้นเหมือนกัน พระองค์ได้สำรอกกิเลส กำจัดความชั่วทั้งหลายให้ศูนย์สิ้นไป กิเลสไม่กลับมากำเริบต่อไปอีก เพราะฉะนั้น การเสวยของพระพุทธองค์เช่นนั้น จึงไม่เป็นการแสลงอะไร”
ม: “เธอฉลาดว่า”
จบอุทรสังยมปัญหา