บทความ
 เคมี (Chemistry)
 สู่อิสรภาพทางการเงิน (To Financial Freedom)
 การคำนวณ และออกแบบ (Calculation and design)
 เทคโนโลยีการเกษตร (Agricultural Technology)
 เครื่องมือกล (Machine tools)
 Laws of Nature
 อวกาศ
 พลังงาน
 อิเล็กทรอนิกส์
 ทฤษฏีสัมพัทธภาพ
 ไครโอเจนิกส์
 เฮลิคอปเตอร์
 เกียร์อัตโนมัติ
 โทรศัพท์มือถือ
 ยาง
 รถไฟความเร็วสูง
 คลัตช์ และกระปุกเกียร์ธรรมดา
 เจ็ทแพ็ค
 แผ่นดินไหว
 คู่มือ ต้องรอด
 โรงไฟฟ้าพลังน้ำ
 ดาวเทียม
 เชื่อมโลหะใต้น้ำ
 กังหันลมผลิตไฟฟ้า
 เครื่องยนต์ดีเซล
 เครื่องยนต์เบนซิน
 คัมภีร์สงครามซุนวู ฉบับเข้าใจง่าย
 โลหะ
 ฟิสิกส์
 ปัญหาพระยามิลินท์
 ยานยนต์สมัยใหม่
 แมคาทรอนิกส์
 เครื่องกล 6 แกน
 เครื่องยนต์เจ็ท
 หุ่นยนต์
 สินค้า ผลงาน
 เขียนแบบ
 ออกแบบ คำนวณ
 วางโครงการ
 งานโลหะ
 อุปกรณ์
 เครื่องกล
วันนี้ 1,733
เมื่อวาน 2,429
สัปดาห์นี้ 10,392
สัปดาห์ก่อน 11,634
เดือนนี้ 38,627
เดือนก่อน 76,610
ทั้งหมด 4,383,124
  Your IP :18.117.138.44

ปัญหาที่ ๑๐ พระพุทธเจ้าที่พึ่งของหมู่สัตว์ (ภิกขุคณอเปกขภาวปัญหา)

 

      พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า “ดูก่อนพระนาคเสน พระพุทธพจน์ที่ว่า

 

 พระองค์มิได้ทรงกระทำในพระฤทัยว่า เราบริหารภิกษุสงฆ์หรือภิกษุสงฆ์มีตัวเราเป็นที่พึ่งนั้น

 

(ดูเรื่องเดิมที่เชิงอรรถแห่งปัญหาที่ ๒ วรรคนี้) มีจริงหรือ”

 

      พระนาคเสนทูลตอบว่า “ขอถวายพระพร มีจริง”

 

      ม: “ถ้าอย่างนั้น เหตุไฉนเมื่อพระพุทธองค์ทรงแสดงคุณของพระเมตไตรยจึงตรัสว่า พระเมตไตรยจักบริหารภิกษุสงฆ์จำนวนตั้งพัน เหมือนบริหารภิกษุสงฆ์จำนวนร้อย (ดูที่จักกวัตติสูตร  ทีฆนีกาย ปาฏิกวรรค) ในบัดนี้ฉะนั้นเล่า”

 

      น: “ขอถวายพระพร เหตุที่พระพุทธองค์ดำรัสคำต้นนั้นก็เพราะว่าความรัก ความเยื่อใย ความยึดถือว่าเราว่าของเรา พระองค์ตรัสเสียเด็ดขาดแล้ว ก็แต่ว่าความพะพิง อาศัยยังมีอยู่ตามธรรมดา เพราะฉะนั้นพระองค์จึงตรัสคำเปรียบเบื้องหลังนี้ได้”

 

      ม: “เธอจงหาตัวอย่างมาเปรียบ”

 

      น: “ขอถวายพระพร แผ่นดินเป็นที่อยู่อาศัยของหมู่สัตว์ แต่ทว่าแผ่นดินหารู้สึกว่า ตัวเป็นที่อาศัยของเหล่าสัตว์ไม่ นี้ฉันใดพระพุทธเจ้าก็ฉันนั้นเหมือนกัน พระองค์ย่อมเป็นที่พึ่งพำนักของหมู่สัตว์มีเราเป็นที่พึ่งอาศัยไม่”

 

      ม: “เข้าใจละ”

 

จบภิกขุคณอเปกขภาวปัญหา

จบวรรคที่ ๒

 

 

 

วรรคที่ ๓

ปัญหาที่ ๑ พระพุทธเจ้าแสดงอวัยวะที่ลับให้พราห์มดู (วัตถุคุยหทัสสนปัญหา)

 

      พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า “ดูก่อนพระนาคเสน พระพุทธเจ้าตรัสอยู่ว่า

 

การสำรวมกายวาจาใจ ย่อมเป็นความดียังประโยชน์ให้สำเร็จฉะนี้

 

มิใช่หรือ”

 

      พระนาคเสนทูลตอบว่า “ขอถวายพระพร ตรัสดังนั้นจริง”

 

      ม: “ก็ถ้าอย่างนั้น เหตุไรเล่าพระพุทธองค์จึงทรงแสดงอวัยวะที่ลับให้เสละพราหมณ์ดูในที่ประชุม

 

((เรื่องนี้ขอนำใจความในเสลสูตร มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก) มากล่าวไว้ก่อนคือ

 

        เดิมมีพราหมณ์ผู้หนึ่งชื่อเสละมีศิษย์มาก วันหนึ่งพากันไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ที่อังคุตตราปชนบท เบื้องต้นเสละพราหมณ์ก็เริ่มตรวจดูพระลักษณะของพระพุทธเจ้าตามตำรามหาปุริสลักษณะ (ลักษณะของมหาบุรุษมี ๓๒ ประการ

 

      ๑. สุปติฏฺฐิตปาโท มีฝ่าพระบาทราบเสมอกัน
       ๒. เหฏฺฐาปาทตเลสุ จกฺกานิ ชาตานิ ลายพื้นพระบาทเป็นจักร
       ๓. อายตปณฺหิ มีส้นพระบาทยาว (ถ้าแบ่ง ๔, พระชงฆ์ตั้งอยู่ในส่วนที่ ๓)
       ๔. ทีฆงฺคุลิ มีนิ้วยาวเรียว (หมายถึงนิ้วพระหัตถ์และพระบาทด้วย)
       ๕. มุทุตลนหตฺถปาโท ฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาทอ่อนนุ่ม
       ๖. ชาลหตฺถปาโท ฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาทมีลายดุจตาข่าย
       ๗. อุสฺสงฺขปาโท มีพระบาทเหมือนสังข์คว่ำ อัฐิข้อพระบาทตั้งลอยอยู่หลังพระบาท กลับกลอกได้คล่อง เมื่อทรงดำเนินผิดกว่าสามัญชน
       ๘. เอณิชงฺโฆ พระชงฆ์เรียวดุจแข้งเนื้อทราย
       ๙. ฐิตโก ว อโนนมนฺโต อุโภหิ ปาณิตเลหิ ชณฺณุกานิ ปรามสติ เมื่อยืนตรง พระหัตถ์ทั้ง ๒ ลูบจับถึงพระชานุ
       ๑๐. โกโสหิตวตฺถคุยฺโห มีพระคุยหะเร้นอยู่ในฝัก
       ๑๑. สุวณฺณวณฺโณ มีฉวีวรรณดุจสีทอง
       ๑๒. สุขุมจฺฉวิ พระฉวีละเอียด ธุลีละอองไม่ติดพระกาย
       ๑๓. เอเกกโลโม มีเส้นพระโลมาเฉพาะขุมละเส้นๆ
       ๑๔. อุทฺธคฺคโลโม เส้นพระโลมาดำสนิท เวียนเป็นทักษิณาวัฏ มีปลายงอนขึ้นข้างบน
       ๑๕. พฺรหฺมุชุคตฺโต พระกายตั้งตรงดุจท้าวมหาพรหม
       ๑๖. สตฺตุสฺสโท มีพระมังสะอูมเต็มในที่ ๗ แห่ง (คือ หลังพระหัตถ์ทั้ง ๒, และหลังพระบาททั้ง ๒, พระอังสาทั้ง ๒, กับลำพระศอ)
       ๑๗. สีหปุพฺพฑฺฒกาโย มีส่วนพระสรีรกายบริบูรณ์ (ล่ำพี) ดุจกึ่งท่อนหน้าแห่งพญาราชสีห์
       ๑๘. ปีตนฺตรํโส พระปฤษฎางค์ราบเต็มเสมอกัน
       ๑๙. นิโคฺรธปริมณฺฑโล ส่วนพระกายเป็นปริมณฑล ดุจปริมณฑลแห่งต้นไทร (พระกายสูงเท่ากับวาของพระองค์)
       ๒๐. สมวฏฺฏกฺขนฺโธ มีลำพระศอกลมงามเสมอตลอด
       ๒๑. รสคฺคสคฺคี มีเส้นประสาทสำหรับรับรสพระกระยาหารอันดี
       ๒๒. สีหหนุ มีพระหนุดุจคางแห่งราชสีห์ (โค้งเหมือนวงพระจันทร์)
       ๒๓. จตฺตาฬีสทนฺโต มีพระทนต์ ๔๐ ซี่ (ข้างละ ๒๐ ซี่)
       ๒๔. สมทนฺโต พระทนต์เรียบเสมอกัน
       ๒๕. อวิวรทนฺโต พระทนต์เรียบสนิทมิได้ห่าง
       ๒๖. สุสุกฺกทาโฐ เขี้ยวพระทนต์ทั้ง ๔ ขาวงามบริสุทธิ์
       ๒๗. ปหูตชิวฺโห พระชิวหาอ่อนและยาว (อาจแผ่ปกพระนลาฏได้)
       ๒๘. พฺรหฺมสโร กรวิกภาณี พระสุรเสียงดุจท้าวมหาพรหม ตรัสมีสำเนียงดุจนกการเวก
       ๒๙. อภินีลเนตฺโต พระเนตรดำสนิท
       ๓๐. โคปขุโม ดวงพระเนตรแจ่มใสดุจตาลูกโคเพิ่งคลอด
       ๓๑. อุณณา ภมุกนฺตเร ชาตา มีอุณาโลมระหว่างพระโขนง เวียนขวา เป็นทักษิณาวัฏ
       ๓๒. อุณฺหิสสีโส มีพระเศียรงามบริบูรณ์ดุจประดับด้วยกรอบพระพักตร์
)

 

ตามที่ตนได้เล่าเรียนมา ที่สุดเกิดความสงสัยขึ้นว่า พระชิวหา (ลิ้น) จะยาวและเมื่อห่อเข้าแล้วก็สอดเข้าไปในช่องพระกรรณ (หู) และพระนาสิก (จมูก) ทั้ง ๒ ได้หรือไม่

 

        อีกประการหนึ่งอวัยวะที่ลับจะตั้งอยู่ภายในฝัก ประดุจเหมือนของโคหรือไม่ พระพุทธองค์ทรงทราบวาระจิตของเสละพราหมณ์ดังนั้นจึงทรงกระทำให้ปรากฏ เสละพราหมณ์ก็แน่ใจว่า พระลักษณะครบ ๓๒ ตามคัมภีร์มหาปุริสลักษณะไม่มีบกพร่อง

 

        แต่ก็ยังไม่เชื่อว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าจริงหรือไม่ จึงคิดว่าต้องพรรณนาพระคุณของพระองค์ในที่เฉพาะพระพักตร์ ฟังคารม ดู คิดแล้วจึงกล่าวคำสรรเสริญ

 

        เป็นต้นว่า พระองค์มีพระสรีระกายบริบูรณ์งดงาม มีพระหฤทัยปลอดโปร่งไม่เป็นที่เบื่อหน่ายของประชุมชน ก็เมื่อพระองค์ทรงประกอบด้วยพระคุณสมบัติเช่นนี้ น่าจะครองเพศฆราวาสเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ เพราะเฉพาะฉะนั้นขอ พระองค์ได้เสด็จไปครองราชสมบัติเถิด (ข้อความตรงนี้ที่เกิดเป็นปัญหาที่ ๑

วรรคที่ ๔ ขึ้น)

 

        และพระพุทธองค์ตรัสเสริมว่า เวลานี้เราเป็นธรรมราชาอยู่แล้ว ได้ยังจักรคือธรรมให้เป็นไป มีสารีบุตรเป็นเสนาบดี (ความข้อนี้เกิดเป็นปัญหาที่  ๗ วรรคที่ ๖ ขึ้น) ในที่สุดเสละพราหมณ์ก็เลื่อมใสทูลขออุปสมบทประพฤติพรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนา

 

        อันข้อที่ว่า พระพุทธเจ้ามีพระชิวหายาว และทรงทำได้ ดังนั้น ถ้าจะว่าตามวิสัยแห่งมนุษย์ก็น่าจะได้แก่การที่พระองค์มีพระลักษณะเพียงบอกให้รู้ว่าตรัสทันหูคน และฉลาดพอที่จะทรงดึงทิฐิมานะของผู้ตั้งใจฟังให้อ่อนมาตามพระพุทธโอวาทได้

 

        เหตุนี้เมื่อเสละพราหมณ์ตรวจดูพระลักษณะแล้วแต่ยังไม่เชื่อใจ จึงสรรเสริญพระคุณขึ้นในที่เฉพาะพระพักตร์ เพื่อฟังคารมสอบดูว่าจะมีปฏิญาณในเชิงดำรัสเพียงไร

 

        ส่วนข้อที่ว่า พระองค์ทรงกระทำอวัยวะที่ลับให้ปรากฏนั้น น่าจะเป็นเช่นนี้ คือ เสละพราหมณ์รู้เห็นได้เช่นนั้น ด้วยมีพระลักษณะอื่นบอก เพราะปรากฏตามพระสูตรว่า เสละพราหมณ์เป็นผู้รู้จบไตรเพท และคัมภีร์อื่นๆ ตลอดจนตำราทายพระมหาปุริสลักษณะ และเมื่อมาถึงพระพุทธเจ้า ก็เริ่มตรวจดูพระลักษณะก่อน

 

        ซึ่งส่อว่ามีความสนใจในการพินิจดูลักษณะมหาปุริสลักษณะนั้น มีลักษณะที่ลับอยู่อีกอย่าง ๑ ซึ่งพอจะนำมาพิสูจน์ได้ คือจำนวนฟัน ๔๐ ซี่ (ล่าง ๒๐ บน ๒๐) พระลักษณะนี้ไม่ปรากฏว่า

เสละพราหมณ์ได้ให้พระพุทธเจ้าทรงอ้าพระโอษฐ์ออกให้นับ และก็ไม่น่าจะทูลร้องขอเช่นนั้น เพราะตัวเพิ่งเป็นแขกใหม่และเป็นแขกชั้นเจ้าลัทธิ ซึ่งมีฐานะไม่น่าจะล่วงเกินจนเสียกิริยาสุภาพถึงปานนั้น

 

        เรื่องนี้ตำรานรลักษณะ (ตำราดูลักษณะของคน หรือดูโหงวเฮ้ง) บางตำราว่า คนชำนาญดูลักษณะเมื่อดูลูกคางแล้ว อาจจะทายว่ามีฟันอยู่เท่านั้นซี่ แม้เสละพราหมณ์ก็น่าจะประจักษ์อยู่เช่นนี้เป็นแน่

 

        จึงไม่ปรากฏว่ามีความสงสัยจำนวนพระทนต์ด้วย ก็เมื่อจำนวนพระทนต์รู้ได้ด้วยมีพระลักษณะอื่นบอก เช่นนี้อวัยวะที่ลับอันตั้งอยู่ในฝักดุจของโค ก็น่าจะมีพระลักษณะอื่นบอกไว้เช่นเดียวกัน

 

        เพราะฉะนั้นเสละพราหมณ์จึงรู้เห็นได้ และตามพระสูตรก็เห็นแต่เสละพราหมณ์ผู้เดียวด้วย แท้จริง ไม่น่าเชื่อว่า พระพุทธองค์จะทรงเปิดเผยให้ดู แม้จะทรงนิรมิตอวัยวะเปรียบให้เห็น ก็ไม่พ้นจากเสียพระกิริยา

 

        แต่เหตุไฉน จึงกล่าวไว้ในพระสูตรเช่นนั้น ข้อนี้น่าจะเป็นเพราะพระคันถรจนาจารย์ต้องการจะแสดงพุทธาภินิหาร และจะแสดงพระลักษณะให้เห็นชัด ว่า ทรงมีครบ ๓๒ ประการตามคัมภีร์มหาปุริสลักษณะ เพื่อมิให้เกิดเป็นปัญหาขึ้น)

 

      น: “เหตุว่า เสละพราหมณ์เกิดความสงสัยเรื่องอวัยวะที่ลับของพระพุทธเจ้าว่ามีหรือไม่มี พระองค์ทรงทราบด้วยพระญาณ จึงทรงแสดงอวัยวะเปรียบอย่างนั้นให้พราหมณ์เห็นด้วยพระพุทธฤทธิ์ ขอถวายพระพร แต่เฉพาะเสละพราหมณ์เท่านั้นซึ่งเป็นผู้ได้เห็นอวัยวะนั้น”

 

      ม: “ก็เอาออกแสดงในที่ประชุม แต่เหตุไรจึงว่าเห็น เฉพาะพราหมณ์คนเดียวเท่านั้นเล่า ดูน่าสงสัยจริงเธอ”

 

      น: “อาตมภาพจะยกตัวอย่างมาเปรียบถวายเหมือนคนเจ็บ  ซึ่งมีญาติมิตรพรักพร้อมแวดล้อมกันอยู่รอบข้าง ขอถวายพระพร เวลาเมื่อคนเจ็บได้รับทุกขเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่พวกญาติมิตรจะแลเห็น หรือรู้สึกเวทนานั้น ๆ ด้วยหรือไม่”

 

 

รูปเปรียบกับคนเจ็บป่วย

 

      ม: “จะไปพากันเห็น หรือรู้สึกด้วยได้อย่างไรเล่าเธอ นอกจากผู้เจ็บเอง”

 

      น: “นั่นแลฉันใด นี่ก็ฉันนั้นเหมือนกัน พระพุทธองค์ทรงนิรมิตอวัยวะเปรียบด้วยอวัยวะที่ลับนั้นด้วยพระพุทธฤทธิ์ ก็ด้วยมีพระพุทธประสงค์เจาะจงจะให้เสละพราหมณ์เห็นแต่ผู้เดียว เพื่อจะได้สิ้นความสงสัย ซึ่งเป็นเหตุปัจจัยเบื้องต้นที่จะนำเวไนยสัตว์ไปสู่พระอริยมรรค อริยผลด้วยวิธีการต่าง ๆ

 

      ประหนึ่งแพทย์ผู้ฉลาดเห็นคนเจ็บทราบอาการแจ้งชัดแล้ว ควรถ่ายก็ให้ถ่าย ควรชะโลมก็ให้ชะโลม ควรรมก็ให้รม มุ่งแต่จะให้โรคบรรเทาและหายฉะนั้น”

 

      ม: “เธอว่านี้ชอบแล้ว”

 

จบวัตถุคุยหทัสสนปัญหา

 

 

 

Share on Facebook
 
Google

WWW
http://www.thummech.com/
ฟังเพลงออนไลน์ คลิกเลย
 
Copyright © 2013-2015 Thummech All Rights Reserved. 
Powered by  ThaiWebPlus 
คนธรรมดามีความรู้คือคนฉลาด คนฉลาดมีความเข้าใจคือคนธรรมดา