ปัญหาที่ ๘ พระพุทธเจ้าทรงละบาปจนหมดสิ้น หรือยังเหลืออยู่บ้าง (สัพพัญญุตํปัตตปัญหา)
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า “ดูก่อนพระนาคเสน พระพุทธเจ้าทรงละบาปอกุศลได้ทั้งหมด หรือทรงละได้แต่บางส่วน”
พระนาคเสนทูลตอบว่า “ขอถวายพระพร ทรงละได้ทั้งหมด”
ม: “ทุกขเวทนาก็มีเกิดขึ้นในพระสรีรกายของพระพุทธเจ้าบ้างมิใช่หรือ”
น: “ขอถวายพระพร มี ดังคราวที่ถูกสะเก็ดหินกระทบพระบาท (การทรงประชวรครั้งนี้ พิเคราะห์ดูตามพฤติการณ์พระอาการน่าจะมากจนถึงจะทรงบำเพ็ญพุทธกิจบางอย่างไม่ได้ เช่นไม่ได้เสด็จพุทธดำเนินโปรดสัตว์เวลาเช้าเป็นต้น ด้วยปรากฏว่าหมอชีวกโกมารภัจมาทำศัลยกรรมนำเลือดและเนื้อร้ายออก และประกอบพระโอสถสำหรับชะทาถวายจนกว่าจะทรงหายเป็นปรกติ และเพราะเหตุที่พระพุทธองค์ทรงกระทำประโยชน์สุขให้แก่โลก หรือคนหมู่มากไม่ได้เต็มที่เช่นนี้แล การทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงห้อพระโลหิต จึงจัดเป็นอนันตริยกรรมๆ ให้ผลในลำดับ เป็นครุกรรม ๆ หนักในฝ่ายบาปด้วยประการหนึ่ง)”
ม: “ก็เธอว่าพระพุทธองค์ทรงละบาปอกุศลได้หมดแล้วไฉนจึงต้องทรงทนทุกขเวทนา ซึ่งเป็นผลของบาปอกุศลด้วยเล่า”
น: “ทุกขเวทนามิได้เป็นผลอันเกิดแต่บาปอกุศลอย่างเดียวไม่ ขอถวายพระพร อันทุกขเวทนาย่อม
เกิดแต่ลมกำเริบบ้าง
เกิดแต่ดีกำเริบบ้าง
เกิดแต่เสมหะกำเริบบ้าง
เกิดแต่ธาตุทั้งสี่แปรผันบ้าง
เกิดแต่บาปอกุศลบ้าง
ขอถวายพระพร เหตุ ๘ ประการนี้แลเป็นปัจจัยให้เกิดทุกขเวทนา”
ม: “ถ้าอย่างนั้น ทุกขเวทนาที่เกิดแก่พระพุทธเจ้าคราวถูกสะเก็ดหินกระทบพระบาทนั้น เกิดแต่อะไร”
น: “ขอถวายพระพร เกิดแก่ความเพียรพยายามปองร้ายของพระเทวทัต”
ม: “ถึงอย่างนั้น ก็จัดว่าเป็นผลเกิดแต่พระพุทธองค์ทรงกระทำไม่ได้ ซึ่งเป็นบรรยายของบาปอกุศลอยู่นั่นเอง เหตุว่าเรื่องนี้ถ้าพระพุทธองค์ทรงพยายามปลอบโยนพระเทวทัตทรงชี้แจงโทษให้ฟังพระเทวทัตก็น่าจะละพยศอันร้ายนั้นได้”
น: “ขอถวายพระพร คนที่มีพยศอันร้ายมีนิสัยเลวทรามประพฤติชั่วช้าอยู่เป็นนิตย์ พระองค์จะทรงสามารถปลอบโยนประทานพระราโชวาทให้ละพยศอันร้ายนั้น จะได้หรือไม่”
ม: “ไม่ได้ อย่าว่าแต่ปลอบโยนเลย คนเช่นนั้นแม้จะลงโทษทัณฑ์ก็เชื่อว่าคงไม่ทิ้งนิสัยเดิม ปราบให้ละพยศอันร้ายนั้นไม่ได้”
น: “ขอถวายพระพร นี่ก็เป็นเช่นนั้นแล พระเทวทัตมีพยศอันร้าย เพราะถือตัวว่าเป็นพี่น้องร่วมท้องกับพระนางพิมพา มีฐานะเท่าเทียมกับพระพุทะเจ้า
เมื่อบรรพชาแล้วจึงไม่ปรากฏว่าไม่มีใครนิยมนับถือ ไม่มีใครถวายจตุปัจจัยเหมือนอย่างกษัตริย์พวกศากยะ ซึ่งออกบรรพชาคราวเดียวกัน
ลำดับนี้แลจิตมุ่งคิดมักมาก มุ่งแสวงหาลาภสักการะแข่งขันและเนื่องด้วยท่านเป็นเชื้อกษัตริย์มีความคิดสูง จึงเริ่มติดต่อกับพระอชาตสัตตุราชกุมาร ถึงยุยงให้ปลงพระชนมชีพพระเจ้าพิมพิสารผู้พระชนก
ส่วนตัวประกอบอุบายต่าง ๆ ในการที่จะปลงพระชนม์พระพุทธเจ้า ขอถวายพระพร พระเทวทัตตั้งจิตไว้ผิดแต่เดิมมาเป็นข้อสำคัญฉะนี้ พระพุทธองค์จึงทรงกระทำให้ละพยศร้ายนั้นไม่ได้ และเมื่อเป็นเช่นนี้จะกล่าวว่าพระพุทธองค์ทรงกระทำไม่ได้ อย่างไรได้
แท้จริงเรื่องนี้ ถ้าพระพุทธองค์มัวทรงตามปลอบโยนพระเทวทัตอยู่ก็จะเป็นอันว่าพระองค์ยังมีการถือเราถือเขายังทรงยินดีช่วยเหลือพวกของพระองค์แม้เป็นผู้ผิด หรือถ้าไม่เช่นนั้น พระพุทธองค์จะทรงลงโทษทัณฑ์พระเทวทัตก็จะเป็นอันว่า พระองค์ทรงผูกพยาบาทพระเทวทัต
เพราะฉะนั้น การที่พระพุทธองค์มีพระหฤทัยเป็นอุเบกขาวางเฉยไม่ยินดียินร้าย ทรงแสดงพระเมตตากรุณาในผู้อื่นอย่างด ในพระเทวทัตก็ทรงแสดงอย่างนั้นจึงแสดงให้เห็นว่าพระพุทธองค์ทรงละบาปอกุศลได้หมดสิ้นเชิง”
ม: “เธอว่านี้ชอบแล้ว”
จบสัพพัญญุตํปัตตปัญหา
ปัญหาที่ ๙ พระพุทธเจ้ายังทรงเข้าญาณอยู่ (ตถาคตอุตตริกรณียาภาวปัญหา)
พระเจ้ามิลนท์ตรัสถามว่า “ดูก่อนพระนาคเสน พระพุทธเจ้าทรงกระทำกิจเสร็จสิ้นแล้วทุกอย่าง กิจอื่นที่จะต้องกระทำไม่มีอีกแล้ว มิใช่หรือ”
พระนาคเสนทูลตอบว่า “ขอถวายพระพร เป็นดังพระองค์ตรัสนั้นแล”
ม: “ถ้าอย่างนั้น ไฉนจึงปรากฏว่าพระพุทธองค์ยังทรงเข้าฌานอยู่อีกเล่า”
น: “ขอถวายพระพร การที่พระพุทธองค์ยังทรงเข้าฌานอยู่อีกนั้น ก็เพราะว่าฌานเป็นคุณธรรมที่ให้ประโยชน์สุขแก่พระองค์มามาก เหตุว่าพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ก็ทรงเข้าฌานเป็นปทัฏฐาน (ปะ-ทัด-ถาน (Norm): บรรทัดฐาน) มาก่อนแล้ว จึงได้ตรัสเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าทั้งนั้น
ขอถวายพระพร เนื่องด้วยฌานมีคุณมาเช่นนี้แลพระพุทธองค์จึงยังทรงฝักใฝ่พระหฤทัยในการเข้าฌานนั้นอยู่”
ม: “เธอจงหาตัวอย่างมาเปรียบให้ฟัง”
น: “ขอถวายพระพร เหมือนบุรุษผู้หมั่นเข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์พยายามทำความดีมีความชอบได้รับพระราชทานทรัพย์สมบัติมากมายจนตั้งเนื้อตั้งตัวได้ แต่ถึงดังนั้น เมื่อเขามาระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์เจ้านั้นแล้ว ก็ยังหมั่นเข้าไปสู่ที่เฝ้าอยู่เนือง ๆ
นี้ฉันใด แม้พระพุทธเจ้าก็ฉันนั้นเหมือนกัน พระพุทธองค์ทรงเข้าฌานเป็นปทัฏฐานมาก่อนแล้ว จึงได้ตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นอันเสร็จกิจที่จะต้องทรงกระทำแล้วทุกอย่างแม้ทั้งที่เสร็จกิจแล้วนั้น พระองค์ก็ยังไม่ทรงทอดทิ้งการเข้าฌานทีเดียวยังทรงหาโอกาสเข้าฌาน เพื่อทรงพระสำราญอันเป็นความสุขอย่างยอดเยี่ยมซึ่งเกิดจากฌานนั้นอีก
ขอถวายพระพร อันการเข้าฌานนี้ย่อมมีคุณมากอย่างมากประการเช่น กำจัดความรัก ความโกรธ ความหลง ความถือตัวและความวิตก มีใจเป็นอารมณ์อันหนึ่ง พิจารณาเห็น ความจริงทั้งหลาย ทำให้เกิดความอิ่มอกอิ่มใจ
ขอถวายพระพร แต่พระพุทธเจ้าย่อมทรงเข้าฌานด้วยเหตุ ๔ ประการ คือ
(๑) ด้วยความที่พระองค์เป็นผู้มีวิหารธรรมเป็นเครื่องอยู่สำราญ
(๒) ด้วยความที่พระองค์ทรงพระคุณธรรมมา
(๓) ด้วยความที่ฌานเป็นวิถีของพระอริยะทั้งหลาย
(๔) ด้วยความที่ฌานเป็นคุณธรรมที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงสรรเสริญ”
ม: เธอว่านี้ชอบแล้ว
จบตถาคตอุตตริกรณียาภาวปัญหา