ปัญหาที่ ๓ ญาณ กับปัญญา เป็นอันเดียวกันหรือไม่ (ปัญญานิรุชฌนปัญหา)
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า “ดูก่อนพระนาคเสน ญาณ (ความรู้)
มี ปัญญา (ความรอบรู้) ก็มีด้วยมิใช่หรือ”
พระนาคเสนทูลตอบว่า “ขอถวายพระพร ใช่”
ม: “เมื่อเป็นเช่นนั้น ญาณก็เช่นเดียวกับปัญญาสิเธอ”
น: “ขอถวายพระพร ถูกแล้ว”
ม: “ผู้ที่มีญาณและปัญญาจะหลงหรือไม่”
น: “หลงในที่บางแห่ง ไม่หลงในที่บางแห่ง”
ม: “ในที่เช่นไรหลง เช่นไรไม่หลง”
น: “ขอถวายพระพร หลงในวิชาที่ตนยังไม่ได้เรียน ในทิศที่ตนยังไม่เคยไป และในภาษาที่ตนยังไม่เคยฟัง”
ม: “ก็ในที่เช่นไรไม่หลงเล่าเธอ”
น: “ที่ใดมีอาการไม่เที่ยงแปรผัน เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา (ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน) ในที่เช่นนั้นแลไม่หลง”
ม: “ความหลงของผู้นั้นไปอยู่เสียที่ไหนเล่าเธอ”
น: “ขอถวายพระพร เมื่อญาณความรู้เกิดขึ้นความหลงก็หายไป”
ม: “เธอจงเปรียบให้ฟัง”
น: “เหมือนคนส่งแสงไฟเข้าไปในที่มืด ทันทีนั้นมืดก็หายแสงสว่างก็ปรากฏขึ้น ถวายพระพร ญาณความรู้ก็เป็นเช่นเดียวกับแสงไฟนี้แล เกิดขึ้นเมื่อใด ความหลงคือความไม่รู้ก็หายไปเมื่อนั้น”
ม: “ก็ปัญญาความรอบรู้เล่าไปอยู่เสียที่ไหน”
น: “ขอถวายพระพร แม้ปัญญาเมื่อกระทำกิจของตนแล้วก็หายไปในที่นั้นแล คงยังปรากฏอยู่ก็แต่ความรู้ชัดซึ่งคติธรรมดา คือความแปรปรวนความเป็นทุกข์ความมิใช่ตัวตนเท่านั้น”
ม: “เธอจงเปรียบให้ฟัง”
น: “เหมือนคนจุดไฟเขียนหนังสือในเวลากลางคืน ครั้นเขียนเสร็จ แล้วก็ดับไฟนอน ไฟก็เป็นอันดับหายไป แต่ตัวอักษรที่ได้เขียนไว้ก็ยังปรากฏอยู่ นี่แลฉันใด, แม้ปัญญาก็ฉันนั้นทำกิจของตนเสร็จแล้วก็ดับไปในที่นั้น ส่วนที่ยังเหลืออยู่ก็คือความรู้แจ้งประจักษ์ในอาการไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตาเท่านั้น”
ม: “ชอบแล้ว”
จบปัญญานิรุชฌนปัญหา
ปัญหาที่ ๔ ผู้ไม่กลับมาเกิดอีก แต่ยังมีชีวิตอยู่ จะรู้สึกถึงความยากลำบากไหม (ปรินิพพานปัญหา)
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า “ดูก่อนพระนาคเสน ผู้ที่จะไม่ต้องมาเกิดอีก ระหว่างเมื่อยังมีชีวิตอยู่จะรู้สึกต่อความลำบากหรือไม่”
พระนาคเสนทูลตอบว่า “ขอถวายพระพร บางส่วนก็รู้สึก บางส่วนก็ไม่รู้สึก”
ม: “ส่วนไหนรู้สึก ส่วนไหนไม่รู้สึก”
น: “ร่างกายของท่านรู้สึกฝ่าต่อความลำบาก แต่ใจของท่านไม่รับรู้ความลำบาก คือไม่มีความทุกข์ใจ”
ม: “ไฉนจึงเป็นเช่นนั้นเล่าเธอ”
น: “เหตุว่าความลำบากกาย เช่น เมื่อยขบหิวกระหาย หรือโรคภัยไข้เจ็บอย่างอื่น ก็ยังคงมีเสียดแทงร่างกายท่านอยู่ตามธรรมดา แต่ท่านไม่มีความลำบากใจ เพราะว่าเหตุที่ทำให้รู้สึกต่อความลำบากใจ ท่านได้กำจัดจนสิ้นเชื้อแล้ว จึงเป็นอันว่าใจของท่านไม่รับรู้ความลำบาก
แม้พระผู้มีพระภาคก็ได้ตรัสไว้ใจความว่า ผู้ที่สิ้นกิเลส (เหตุให้ใจเศร้า) แล้วยังคงมีแต่กายิกทุกข์ (ทุกข์ประจำร่างกาย) เท่านั้น ส่วนเจตสิกทุกข์ (ทุกข์ใจ) เป็นอันไม่มีแล้ว”
ม: “เมื่อเช่นนั้น ไฉนท่านจึงไม่รีบนิพพานหนีความลำบากเสียเล่า”
น: “เพราะใจท่านเหล่านั้นมิได้เกี่ยวเกาะอยู่ที่ความลำบากกาย โดยมาพิจารณาเห็นว่าความลำบากเหล่านั้นเป็นอาการประจำของร่างกาย เมื่อมีเกิดมีแก่แล้ว ก็ต้องมีความไข้ความเจ็บ ต้องเมื่อยขบหรือหิวระหายอยู่ เป็นธรรมดา
อนึ่ง ท่านเหล่านั้นไม่เร่งกาลเวลา ทำใจอยู่เสมอว่าจะทำประโยชน์สุขให้แก่ตนและผู้อื่นทุกๆ ขณะไป แม้พระสารีบุตรก็ได้กล่าวไว้ ความย่อ ๆ ว่าจะยังมีชีวิตอยู่ก็ดี จะตายเสียก็ดี ไม่เป็นเหตุให้ดีใจหรือเสียใจ แต่ว่าเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ก็จำทำประโยชน์ต่อไป”
ม: “เธอว่านี้จับใจ”
จบปรินิพพานปัญหา